ตกเป็นข่าวอยู่นานทั้งในที่สุดเมอร์เซเดส-เบนซ์ก็ได้ฤกษ์เผยโฉมใหม่ หรือโมเดลเชนจ์ของเอส-คลาส รถยนต์ที่เป็นเรือธงของค่ายออกมาแล้ว พร้อมกับความใหม่สดตลอดทั้งคัน เพียบพร้อมด้วยความหรูตามแบบฉบับค่ายดาว 3 แฉกกับขนาดตัวถังเกินหลัก 5 เมตร
เอส-คลาสถือเป็นเจนเนอเรชั่นรถยนต์ระดับหรูที่อยู่คู่กับเมอร์เซเดส-เบนซ์มานาน และมีการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด ซึ่งจุดเริ่มต้นมีขึ้นในปี 1954 แต่ในตอนนั้นยังไม่ได้มีการนำรหัสมาใช้ แต่เป็นชื่อเรียกว่า Ponton และมีการทำตลาดเปลี่ยนโฉมตามอายุตลาดอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับเปลี่ยนชื่อรุ่น ส่วนรหัสเอส-คลาสจริงๆ มาเริ่มต้นเอาในช่วงปี 1972 กับรหัสตัวถัง W112 ซึ่งถ้านับเฉพาะการแปะป้ายว่าเป็นเอส-คลาสจริงๆ แล้ว โฉมใหม่ที่มีการเปิดตัวออกมาให้เห็นในครั้งนี้จะเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 6
รุ่นใหม่นี้เป็นโมเดลเชนจ์ที่มากับรหัสตัวถัังใหม่ W222 และเรือนร่างทีมีความปราดเปรียวและเพรียวลมขึ้นด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน หรือ CD อยู่ที่ 0.24 ดีขึ้นจากรุ่นเดิม ซึ่งอยู่ในระดับ 0.26
ในแง่ของการออกแบบ เอส-คลาสใหม่ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นภายใต้แนวคิด The Essence of Luxury เพื่อสะท้อนถึงความเป็นที่สุดของยานยนต์ระดับหรู อีกทั้งยังอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำในตลาด
รูปลักษณ์ภายนอกยังมากับตัวถังแบบ 4 ประตูซีดาน เส้นสายบนตัวถังสะท้อนถึงความหรู และความเพรียวลมในขณะพุ่งทะยานไปข้างหน้า ขณะเดียวกันแนวทางการออกแบบไฟหน้า-กระจังหน้าก็อิงกับเอกลักษณ์ใหม่ของเบนซ์ ซึ่งหันมาใช้กรอบไฟหน้าแบบทรงเหลี่ยมยาว และหันมาใช้หลอดแบบ LED มากขึ้น โดยไฟหน้ามีมากถึง 56 ดวง และ 35 ดวงสำหรับไฟท้าย ส่วนในห้องโดยสารมีใช้มากถึง 300 ดวงเลยทีเดียว
ขนาดตัวถังมีให้เลือก 2 แบบ ถ้าเป็นฐานล้อปกติจะมีความยาว 5,116 มิลลิเมตร และ 5,248 มิลลิเมตรสำหรับรุ่นฐานล้อยาว ซึ่งเพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิม 40 และ 42 มิลลิเมตรตามลำดับ ส่วนระยะฐานล้อจะอยู่ที่ 3,035 มิลลิเมตรสำหรับรุ่นปกติ และ 3,165 มิลลิเมตร หรือเพิ่มขึ้น 31 และ 24 มิลลิเมตรตามลำดับ ตรงนี้จะส่งผลต่อเนื่องไปยังความกว้างขวางและสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร ซึ่งมีทั้ง Headroom และ Legroom เพิ่มขึ้น
ภายในห้องโดยสารเน้นความหรูหราตามสไตล์เบนซ์ ตกแต่งด้วยวัสดุชั้นดี และเพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยี ซึ่งตรงแผงคอนโซลกลางจะมีหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 12.3 นิ้วเป็นตัวควบคุมการทำงานของระบบส่วนกลาง เช่นเดียวกับการทำหน้าที่ในการแสดงผลของระบบนำทาง
สำหรับเทคโนโลยีใหม่ที่ถือว่าเป็นครั้งแรกสำหรับเอส-คลาสใหม่ก็มีการติดตั้งมากมาย อย่างในระบบช่วงล่างก็จะมีการติดตั้งสิ่งที่เปรียบเสมือนกับ ‘ตา’ ในการแสกนสภาพพื้นผิวถนน และปรับระบบช่วงล่างให้สอดคล้องกับเส้นทางเหล่านี้ โดยจะเป็นการสอดประสานการทำงานระหว่างระบบ AIRMATIC ปรับความหนืดของช่วงล่างอัตโนมัติ กับระบบควบคุมการทรงตัว หรือ MAGIC Body CONTROL เข้าด้วยกัน หรือระบบ Night Vision ซึ่งสามารถตรวจสอบสิ่งกีดขวางที่อยู่ด้านหน้าได้ทั้งคน และสัตว์
ทางเลือกของเครื่่องยนต์ที่จะทำตลาดมีหลากหลาย แต่ที่เน้นมากคือ เครื่องยนต์ไฮบริด ซึ่งจะขายกับรหัส S400HYBRID และ S300 BlueTEC HYBRID โดยแบบแรกเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซินวี6 ที่มีกำลัง 306 แรงม้า กับมอเตอร์ไฟฟ้า 20 กิโลวัตต์ ใช้เวลา 6.6 วินาทีสำหรับอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยมีความประหยัดในระดับ 15.9 กิโลเมตร/ลิตร
ส่วนรุ่น S300 BlueTEC HYBRID เป็นการจับคู่กันระหว่างเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล 4 สูบ 2,200 ซีซี 204 แรงม้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า 15 กิโลวัตต์
สำหรับใครที่ชอบอะไรแบบแรงๆ ตามสไตล์เครื่องยนต์เบนซิน เบนซ์ก็มีรุ่น S500 เป็นอีกทางเลือก โดยใช้เครื่องยนต์วี8 ที่มีความจุระดับ 4,700ซีซี เป็นตัวขับเคลื่อน โดยมีกำลังสูงสุดที่ 455 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 71.3 กก.-ม.ใช้เวลา 4.8 วินาทีสำหรับอัตราเร่ง และความเร็วปลายถูกล็อกไว้ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมงเหมือนกัน แต่ถ้าปลดออกคงวิ่งได้ไกลกว่านี้
อีกทางเลือกของเครื่องยนต์เป็นดีเซล คือ S350BlueTEC ใช้เครื่องยนต์วี6 3,000 ซีซี มีกำลังสูงสุด 258 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 63 กก.-ม. ให้ความประหยัดในระดับ 17.8 กิโลเมตร/ลิตร ส่วนระบบส่งกำลังของทุกรุ่นเครื่องยนต์จะมากับเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะรุ่นใหม่ 7G-Tronic Plus พร้อมโหมด Drive Select ที่ได้รับการปรับปรุงให้สอดคล้องกับรูปแบบการใช้งาน ทั้งในเรื่องของสมรรถนะ ความประหยัด และความนุ่มนวลในการถ่ายทอดกำลัง
เปิดตัวแล้ว ส่วนการทำตลาดจะเริ่มขึ้นในเยอรมนีช่วงกลางปีนี้ โดยตอนนี้ยังไม่มีการเปิดเผยราคาออกมาตอนนี้