จากข่าวรถหรูไฟไหม้มูลค่าเป็นร้อยล้านบาท ได้ลุกลามบานปลายกลายเป็นเรื่องของขบวนการรถหรูจดประกอบหลีกเลี่ยงภาษี จนดีเอสไอต้องนำมาเป็นคดีพิเศษ และเตรียมตรวจสอบรถจดประกอบในตลาด ที่จดทะเบียนไป 6 พันคัน และที่ยื่นขออีก 3 พันคัน ทำให้คนซื้อรถจดประกอบต้องหนาวๆ ไปตามๆ กัน ทั้งที่ว่ากันตามจริงรถจดประกอบไม่ได้ผิดกฎหมาย แต่ที่ผิดเพราะมีการหลบเลี่ยงกฎหมาย จากการร่วมมือของหลายๆ ฝ่าย ทั้งกลุ่มผู้ค้ารถ เจ้าหน้าที่รัฐหลายหน่วยงาน รวมถึงผู้ซื้อบางราย จนเกิดเป็นขบวนการขึ้นมา และทำให้ต้องสูญเสียรายได้เข้าประเทศนับหมื่นล้านบาท ซึ่งทั้งหมดล้วนมีที่มาที่ไป และเขาทำกันอย่างไร? “ASTV ผู้จัดการ” มีคำตอบ…
![](https://mpics.mgronline.com/pics/Images/556000007390701.JPEG)
รูปแบบการนำเข้ารถหรู
การนำเข้ารถมาขายในไทย ตามกฎหมายจะต้องเป็นรถใหม่เท่านั้น รถยนต์ใช้แล้วไม่สามารถเข้ามาได้ เพื่อเป็นการคุ้มครองอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ จะมียกเว้นบ้างก็เป็นรถเฉพาะประเภท หรือรถนำเข้ามาใช้เป็นส่วนบุคคล ของผู้ที่เคยอยู่ หรือศึกษาในต่างประเทศ และทำเรื่องขอนำรถที่เคยใช้กลับมาเมืองไทย (มีเช่นกันที่ใช้ช่องนี้หลบเลี่ยงนำเข้ามาขาย แต่ไม่มากนัก)
แต่การนำเข้ารถใหม่ทั้งคันมีอุปสรรคต่อการทำตลาดเช่นกัน เพราะต้องโดนภาษีทุกอย่างเบ็ดเสร็จกว่า 200-300% (แล้วแต่ขนาดเครื่องยนต์และแรงม้า) ด้วยข้ออ้างเพื่อคุ้มครองอุตฯ รถยนต์ในประเทศ จึงทำให้สมมุติรถราคา 1 ล้านบาท เมื่อนำมาขายในไทยจะเพิ่มเป็น 3-4 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม กฎหมายได้อนุญาตให้นำอุปกรณ์ชิ้นส่วนรถใช้แล้ว หรืออะไหล่รถจากต่างประเทศเข้ามาได้ และให้สามารถนำมาประกอบรถเป็นคัน และจดทะเบียนเหมือนรถปกติทั่วไปได้ หรือที่เรียกกันว่า... “รถจดประกอบ”
ฉะนั้นรถจดประกอบ จึงไม่ใช่รถที่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด แต่สิ่งที่ผิดและเกิดปัญหา อยู่ที่กระบวนการดำเนินการของรถจดประกอบ ซึ่งผิดไปจากความหมายของรถจดประกอบ ดังเช่นรถหรู/ซูเปอร์คาร์ 6 คัน ที่กำลังจะนำไปจดทะเบียนยังจังหวัดศรีสะเกษ แต่เกิดไฟไหม้ระหว่างทาง 4 คัน และถูกตรวจสอบพบว่า เป็นรถจดประกอบหลีกเลี่ยงภาษี
จริงๆ ปัญหารถจดประกอบไม่ใช่เพิ่งเกิด นิยมทำกันมา 5-6 ปีแล้ว และเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมาก็มีข่าวอื้อฉาว จนสื่อมวลชนออกมาสาวไส้กระบวนการรถจดประกอบหลีกเลี่ยงภาษี เพราะมีการตรวจสอบพบว่า รถจดประกอบที่เป็นรถหรู หรือซูเปอร์คาร์ ไม่ได้นำเข้ามาเป็นชิ้นส่วนแต่อย่างใด ส่วนใหญ่จะมาเป็นคัน (บางรายนำเข้ารถใหม่ๆ มาเลย) หรือแยกเพียงล้อเท่านั้นมา ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ของการอนุญาตนำเข้าอุปกรณ์ชิ้นส่วนใช้แล้ว
แต่ที่สุดข่าวคราวก็เงียบหายไป จนเกิดกรณีร้อนแรงล่าสุดขึ้นมา จากมูลค่ารถนับร้อยล้านบาท และสื่อมวลชนตามติดเรื่องนี้แทบจะทุกสื่อ
นอกจากนี้ยังมีการนำเข้ารถอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นการลักลอบนำรถหรูเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย หรือสิงคโปร์ เพื่อนำมาสวมทะเบียน รถที่นิยมลักลักนำเข้ามา จะเป็นรถหรูรุ่นที่มีในตลาดค่อนข้างมาก เช่น เมอร์เซเดส-เบนซ์ หรือบีเอ็มดับเบิลยู เพราะสามารถหาซากรถรุ่นเดียวกัน(จากอุบัติเหตุ) หรือใกล้เคียง มาตัดต่อแชสซีส์ หรือเลขตัวถังทับ เพื่อสวมทะเบียนได้ง่าย ไม่ก็ใช้ทะเบียนปลอม ตลอดจนติดป้ายแดงวิ่งกันเป็นปีเป็นชาติ แต่ก็เสี่ยงกับการถูกจับสูง
ในบรรดารถหรูนำเข้า รถจดประกอบจึงเป็นรูปแบบที่นิยมกันมากที่สุด เพราะมีช่องให้ดำเนินการได้ถูกกฎหมาย และอัตราภาษีก็ต่ำกว่ารถใหม่นำเข้ามาก หรือใกล้เคียงกับรถประกอบในไทย ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 30-50% เท่านั้น
ที่สำคัญได้รับความร่วมมือ จากเจ้าหน้าที่รัฐในการหลบเลี่ยงเป็นอย่างดี!!
![](https://mpics.mgronline.com/pics/Images/556000007390702.JPEG)
กลโกงนำเข้ารถจดประกอบ
จากความนิยมนำเข้าอุปกรณ์ชิ้นส่วนมาประกอบรถเป็นคัน หรือรถจดประกอบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถที่ไม่ค่อยมีขายในไทย หรือถ้ามีจะเป็นรถใหม่นำเข้าสำเร็จรูปทั้งคัน ซึ่งมีราคาแพงมากจากอัตราภาษีกว่า 200-300% ขณะที่รถจดประกอบเสียภาษีเพียง 30-50% และยังประเมินจากฐานของชิ้นส่วนอะไหล่ หรือราคารถมือสอง(ภาษีสรรพสามิต)
จึงไม่แปลกที่จะเห็นรถ “มินิ” ราคาของตัวแทนจำหน่ายกว่า 2-3 ล้านบาทขึ้นไป แต่ถ้าเป็นรถจดประกอบกลับไม่ถึงล้านบาท และคิดดูว่ารถเครื่องยนต์ใหญ่กำลังสูงๆ เสียภาษีเต็มกว่า 300% หรือราคามากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป จะมีช่องห่างของราคาแค่ไหน?
เหตุนี้รถจดประกอบจึงเป็นที่ต้องการ ของบรรดาผู้ชื่นชอบรถหรูและแรง แต่ต้องการสบายกระเป๋า ซึ่งต้นทางของรถเหล่านี้มาจากประเทศที่ใช้รถพวงมาลัยขวาเหมือนกัน อย่างอังกฤษ ตะวันออกกลาง และโดยเฉพาะฮ่องกง ที่ใช้รถหรูและสปอร์ตกันมาก รวมถึงประเทศผู้ผลิตรถยนต์อย่างญี่ปุ่น โดยเครือข่ายกลุ่มผู้ค้ารถจดประกอบจะไปซื้อ หรือประมูลมา
อย่างที่บอกรถจดประกอบ จะเป็นรถหรูและสปอร์ต ไม่ก็เป็นรถที่ไม่มีขาย หรือตัวแทนจำหน่ายในไทยนำเข้ามาขายไม่มาก การแยกอุปกรณ์ชิ้นส่วนมา เพื่อประกอบรถจึงไม่ใช่จะกระทำกันได้ง่ายๆ และยิ่งรถเทคโนโลยีสูงๆ แถมบางรุ่นตัวถังทำด้วยอลูมิเนียมอัลลอย อย่างพวกซูเปอร์คาร์ หรือรถหรูระดับท็อปคลาส การที่จะมาเชื่อม (Welding) หรือประกอบเข้ากัน กับเครื่องมือปกติที่มีในไทยทำไม่ได้เลย ต้องใช้เครื่องมือของมันโดยเฉพาะ
ฉะนั้นจึงเกิดคำถามตัวโตๆ... บรรดารถหรูระดับมากกว่า 10 ล้านบาท โดยเฉพาะซูเปอร์คาร์ เหมือนอย่างรถเกิดไฟไหม้ 6 คัน เป็นไปได้หรือที่จะเป็นรถจดประกอบ?!!
มากกว่านั้นบางรายถึงกับนำรถใหม่ เข้ามาทำเป็นรถจดประกอบ เพราะลูกค้ามีความต้องการอยู่แล้ว(และรู้กัน) อย่างที่บอกราคาอย่างน้อยแตกต่างกันเป็นเท่าตัว เพราะทุกขั้นตอนถูกตีเป็นอุปกรณ์ชิ้นส่วนอะไหล่ หรือรถมือสอง จึงทำให้เสียภาษีต่ำกว่ารถใหม่นำเข้าทั้งคัน
นี่จึงเป็นเหตุผล ทำไม? กลุ่มผู้ค้ารถจดประกอบ(เชื่อว่าส่วนใหญ่ แต่ผู้ที่ทำถูกก็มี) นำเข้ารถมาทั้งคันหรือเกือบจะทั้งคัน โดยถอดเพียงแค่ล้อ หรืออย่างมากถอดประตู และฝากระโปรงด้วย เพราะเป็นชิ้นส่วนที่สามารถประกอบได้ง่ายๆ อยู่แล้ว จากนั้นจับใส่ตู้คอนเทนเนอร์ แล้วส่งมาขึ้นท่าเรือแหลมฉบัง หรือคลองเตย
เมื่อมาถึงท่าเรือและกระบวนการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรไทย เนื่องจากกฎหมายเองไม่มีความชัดเจน คำว่าชิ้นส่วนใช้แล้วนำมาจดประกอบ หมายถึงจะต้องแยกชิ้นส่วนขนาดไหน ซึ่งเรื่องนี้ในอดีตเคยมีอธิบดีกรมศุลกากร ต้องการให้ตีความให้ชัด แต่ที่สุดเรื่องก็เงียบหายไปกับสายลมเช่นเคย
ด้วยช่องโหว่ตรงนี้ จึงทำให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรบางราย ร่วมมือกับกลุ่มผู้ค้ารถจดประกอบ แลกกับการรับผลประโยชน์ เพียงดูเอกสารสำแดงนำเข้าที่ระบุว่า เป็นอุปกรณ์ชิ้นส่วนรถ หรืออะไหล่ โดยที่ไม่ได้มีการเปิดกล่องแต่อย่างใด หรือเปิดเพียงเป็นพิธี พอให้เห็นชิ้นส่วนที่แยกมาบางชิ้นเท่านั้น
จากนั้นออกใบอินวอยซ์ หรือใบแสดงรายการสินค้านำเข้าจากศุลกากร โดยเฉพาะหมายเลขโครงตัวถัง และเครื่องยนต์ของรถ เพื่อเสียภาษีศุลกากร และนำชิ้นส่วนอะไหล่(รถทั้งคัน) ออกมาทำเป็นรถจดประกอบ
บทสรุป... อุปกรณ์ชิ้นส่วน(รถทั้งคัน) เหล่านี้ จึงเสียภาษีนำเข้าเพียงไม่เกิน 30% (ของราคาประเมินอะไหล่) ขณะที่อัตรารถใหม่นำเข้าทั้งคันสูงถึง 80%
![](https://mpics.mgronline.com/pics/Images/556000007390703.JPEG)
ขั้นตอนและรูปแบบการกระทำ
ตามกฎหมายของการที่จะทำรถจดประกอบ เมื่อนำอุปกรณ์ชิ้นส่วนรถเข้ามา จะต้องดำเนินการประกอบรถ กับผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตประกอบรถกรมสรรพสามิต ซึ่งเดิมจะมีเพียงไม่กี่แห่ง เพราะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญจริงๆ แต่ช่วงหลังภาครัฐต้องการสนับสนุนผู้ประกอบการ จึงอนุญาตให้มีโรงประกอบรถมากขึ้น
แม้จะมีอู่หรือโรงรับประกอบรถที่ได้รับใบอนุญาตมากขึ้น แต่ปัจจุบันในไทยยังคงมีอยู่น้อย หรือแทบจะไม่มีอู่ประกอบรถใดเลย ที่จะสามารถดำเนินการประกอบรถหรู รถสปอร์ต หรือซูเปอร์คาร์ได้ ไม่ว่าจะเป็นตัวช่าง หรือเครื่องมือต่างๆ เห็นได้จากการนำหมายศาลของดีเอสไอ เข้าตรวจค้นสถานประกอบการรถจดประกอบ 4 จุด ที่เกี่ยวข้องกับรถลัมบอร์กินี 1 ในรถ 4 คัน ที่เกิดเหตุไฟไหม้ ปรากฏว่าไม่มีสภาพที่จะประกอบรถหรู หรือซูเปอร์คาร์ได้เลย
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม บริษัทหรือกลุ่มผู้นำเข้ารถหรู ต่างก็ใช้ช่องทางเหล่านี้ ในการดำเนินธุรกิจนำเข้าและจดประกอบรถ ซึ่งต้องมีวิศวกรเป็นผู้รับรองมาตรฐานการประกอบรถคันนั้นๆ ด้วย จึงจะสามารถนำไปจดทะเบียนได้
ตามรายงานของดีเอสไอ พบผู้เกี่ยวข้องในการกระทำผิด เกี่ยวกับการดำเนินการประกอบรถจดประกอบ ได้แก่ ผู้นำเข้าอุปกรณ์ชิ้นส่วน(รถทั้งคัน) ผู้ประกอบรถ และนอมินี ซึ่งแยกเป็น 4 รูปแบบ อ้างดำเนินการทำรถจดประกอบ โดยรูปแบบแรกลูกค้าจะเป็นผู้ซื้อเครื่องยนต์ และอุปกรณ์รถยนต์ จากบริษัทที่เป็นนอมินีของผู้ประกอบรถ ซึ่งบริษัทผู้ประกอบรถจะทำหน้าที่เป็นผู้รับจ้างประกอบ พร้อมกับขายเฉพาะตัวถัง เพื่อให้ดูเหมือนว่าผู้บริโภคเป็นผู้นำเข้าเครื่องยนต์เอง และบริษัทประกอบรถไม่มีความเกี่ยวข้อง
รูปแบบที่ 2 บริษัทผู้ประกอบรถจะดำเนินการเอง ทั้งการซื้อตัวถัง เครื่องยนต์ และอุปกรณ์ชิ้นส่วน จากบริษัทนำเข้าโดยตรง เมื่อประกอบรถเสร็จจึงจะนำออกมาขายให้กับผู้บริโภคทั่วไป และแบบที่ 3 กลับกันลูกค้าจะเป็นผู้ซื้ออุปกรณ์ชิ้นส่วนต่างๆ ทั้งหมด และนำไปให้บริษัทผู้ประกอบรถทำการประกอบให้ แต่อาจจะมีการหาอุปกรณ์ตกแต่งให้
สุดท้ายรูปแบบที่ 4 จะคล้ายๆ กัน ลูกค้าเป็นผู้ซื้อตัวถัง เครื่องยนต์ และอุปกรณ์ชิ้นส่วนจากผู้นำเข้า โดยชิ้นส่วนตกแต่งจะซื้อจากบริษัทนอมินี ซึ่งจากข้อมูลของดีเอสเชื่อว่า ส่วนใหญ่รถหรูที่นำไปจดทะเบียนส่วนใหญ่จะเป็นแบบแรก และรูปแบบที่ 4
แต่นั่นเป็นรูปแบบของการสำแดงเอกสารอ้างจดประกอบ ทั้งในการเสียภาษีสรรพสามิต และจดทะเบียนกับกรมขนส่งทางบก ซึ่งจริงๆ ล้วนเป็นเครือข่ายเดียวกัน และแทบจะไม่มีการประกอบรถ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นรถนำเข้ามาเกือบทั้งคัน(หรือทั้งคัน)
เมื่อกระบวนประกอบรถ(หลอกๆ) เสร็จแล้ว จึงนำรถดังกล่าวไปเสียภาษีสรรพสามิต จากนั้นหากเป็นรถที่ใช้เชื้อเพลิงเบนซิน หรือดีเซล ต้องไปให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.) ตรวจสอบสภาพรถตามมาตรฐานอุตสาหกรรม(มอก.) โดยเฉพาะเรื่องของมาตรฐานมลพิษ แต่ถ้าใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ หรือแก๊ส 100% ไม่ต้องตรวจกับสมอ. แต่ต้องมีการรับรองมาตรฐาน และความมั่นคงปลอดภัยจากวิศวกร ซึ่งอู่ประกอบรถจะดำเนินการให้
ผ่านกระบวนการต่างๆ เหล่านี้แล้ว และนำหลักฐานสำคัญต่างๆ สำเนาใบนำเข้า หรืออินวอยซ์ หลักฐานการตรวจสภาพรถจากสมอ.(ติดแก๊สไม่ต้องมี) และสำเนาใบเสียภาษีสรรพสามิต นำไปขอจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก อาจจะในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัดก็ได้
เปิดเส้นทางรถหรูจดประกอบ เลี่ยงภาษี-ชาติสูญหมื่นล้าน ตอน 2 คลิก
![](https://mpics.mgronline.com/pics/Images/556000007390704.JPEG)
รูปแบบการนำเข้ารถหรู
การนำเข้ารถมาขายในไทย ตามกฎหมายจะต้องเป็นรถใหม่เท่านั้น รถยนต์ใช้แล้วไม่สามารถเข้ามาได้ เพื่อเป็นการคุ้มครองอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ จะมียกเว้นบ้างก็เป็นรถเฉพาะประเภท หรือรถนำเข้ามาใช้เป็นส่วนบุคคล ของผู้ที่เคยอยู่ หรือศึกษาในต่างประเทศ และทำเรื่องขอนำรถที่เคยใช้กลับมาเมืองไทย (มีเช่นกันที่ใช้ช่องนี้หลบเลี่ยงนำเข้ามาขาย แต่ไม่มากนัก)
แต่การนำเข้ารถใหม่ทั้งคันมีอุปสรรคต่อการทำตลาดเช่นกัน เพราะต้องโดนภาษีทุกอย่างเบ็ดเสร็จกว่า 200-300% (แล้วแต่ขนาดเครื่องยนต์และแรงม้า) ด้วยข้ออ้างเพื่อคุ้มครองอุตฯ รถยนต์ในประเทศ จึงทำให้สมมุติรถราคา 1 ล้านบาท เมื่อนำมาขายในไทยจะเพิ่มเป็น 3-4 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม กฎหมายได้อนุญาตให้นำอุปกรณ์ชิ้นส่วนรถใช้แล้ว หรืออะไหล่รถจากต่างประเทศเข้ามาได้ และให้สามารถนำมาประกอบรถเป็นคัน และจดทะเบียนเหมือนรถปกติทั่วไปได้ หรือที่เรียกกันว่า... “รถจดประกอบ”
ฉะนั้นรถจดประกอบ จึงไม่ใช่รถที่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด แต่สิ่งที่ผิดและเกิดปัญหา อยู่ที่กระบวนการดำเนินการของรถจดประกอบ ซึ่งผิดไปจากความหมายของรถจดประกอบ ดังเช่นรถหรู/ซูเปอร์คาร์ 6 คัน ที่กำลังจะนำไปจดทะเบียนยังจังหวัดศรีสะเกษ แต่เกิดไฟไหม้ระหว่างทาง 4 คัน และถูกตรวจสอบพบว่า เป็นรถจดประกอบหลีกเลี่ยงภาษี
จริงๆ ปัญหารถจดประกอบไม่ใช่เพิ่งเกิด นิยมทำกันมา 5-6 ปีแล้ว และเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมาก็มีข่าวอื้อฉาว จนสื่อมวลชนออกมาสาวไส้กระบวนการรถจดประกอบหลีกเลี่ยงภาษี เพราะมีการตรวจสอบพบว่า รถจดประกอบที่เป็นรถหรู หรือซูเปอร์คาร์ ไม่ได้นำเข้ามาเป็นชิ้นส่วนแต่อย่างใด ส่วนใหญ่จะมาเป็นคัน (บางรายนำเข้ารถใหม่ๆ มาเลย) หรือแยกเพียงล้อเท่านั้นมา ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ของการอนุญาตนำเข้าอุปกรณ์ชิ้นส่วนใช้แล้ว
แต่ที่สุดข่าวคราวก็เงียบหายไป จนเกิดกรณีร้อนแรงล่าสุดขึ้นมา จากมูลค่ารถนับร้อยล้านบาท และสื่อมวลชนตามติดเรื่องนี้แทบจะทุกสื่อ
นอกจากนี้ยังมีการนำเข้ารถอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นการลักลอบนำรถหรูเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย หรือสิงคโปร์ เพื่อนำมาสวมทะเบียน รถที่นิยมลักลักนำเข้ามา จะเป็นรถหรูรุ่นที่มีในตลาดค่อนข้างมาก เช่น เมอร์เซเดส-เบนซ์ หรือบีเอ็มดับเบิลยู เพราะสามารถหาซากรถรุ่นเดียวกัน(จากอุบัติเหตุ) หรือใกล้เคียง มาตัดต่อแชสซีส์ หรือเลขตัวถังทับ เพื่อสวมทะเบียนได้ง่าย ไม่ก็ใช้ทะเบียนปลอม ตลอดจนติดป้ายแดงวิ่งกันเป็นปีเป็นชาติ แต่ก็เสี่ยงกับการถูกจับสูง
ในบรรดารถหรูนำเข้า รถจดประกอบจึงเป็นรูปแบบที่นิยมกันมากที่สุด เพราะมีช่องให้ดำเนินการได้ถูกกฎหมาย และอัตราภาษีก็ต่ำกว่ารถใหม่นำเข้ามาก หรือใกล้เคียงกับรถประกอบในไทย ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 30-50% เท่านั้น
ที่สำคัญได้รับความร่วมมือ จากเจ้าหน้าที่รัฐในการหลบเลี่ยงเป็นอย่างดี!!
กลโกงนำเข้ารถจดประกอบ
จากความนิยมนำเข้าอุปกรณ์ชิ้นส่วนมาประกอบรถเป็นคัน หรือรถจดประกอบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถที่ไม่ค่อยมีขายในไทย หรือถ้ามีจะเป็นรถใหม่นำเข้าสำเร็จรูปทั้งคัน ซึ่งมีราคาแพงมากจากอัตราภาษีกว่า 200-300% ขณะที่รถจดประกอบเสียภาษีเพียง 30-50% และยังประเมินจากฐานของชิ้นส่วนอะไหล่ หรือราคารถมือสอง(ภาษีสรรพสามิต)
จึงไม่แปลกที่จะเห็นรถ “มินิ” ราคาของตัวแทนจำหน่ายกว่า 2-3 ล้านบาทขึ้นไป แต่ถ้าเป็นรถจดประกอบกลับไม่ถึงล้านบาท และคิดดูว่ารถเครื่องยนต์ใหญ่กำลังสูงๆ เสียภาษีเต็มกว่า 300% หรือราคามากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป จะมีช่องห่างของราคาแค่ไหน?
เหตุนี้รถจดประกอบจึงเป็นที่ต้องการ ของบรรดาผู้ชื่นชอบรถหรูและแรง แต่ต้องการสบายกระเป๋า ซึ่งต้นทางของรถเหล่านี้มาจากประเทศที่ใช้รถพวงมาลัยขวาเหมือนกัน อย่างอังกฤษ ตะวันออกกลาง และโดยเฉพาะฮ่องกง ที่ใช้รถหรูและสปอร์ตกันมาก รวมถึงประเทศผู้ผลิตรถยนต์อย่างญี่ปุ่น โดยเครือข่ายกลุ่มผู้ค้ารถจดประกอบจะไปซื้อ หรือประมูลมา
อย่างที่บอกรถจดประกอบ จะเป็นรถหรูและสปอร์ต ไม่ก็เป็นรถที่ไม่มีขาย หรือตัวแทนจำหน่ายในไทยนำเข้ามาขายไม่มาก การแยกอุปกรณ์ชิ้นส่วนมา เพื่อประกอบรถจึงไม่ใช่จะกระทำกันได้ง่ายๆ และยิ่งรถเทคโนโลยีสูงๆ แถมบางรุ่นตัวถังทำด้วยอลูมิเนียมอัลลอย อย่างพวกซูเปอร์คาร์ หรือรถหรูระดับท็อปคลาส การที่จะมาเชื่อม (Welding) หรือประกอบเข้ากัน กับเครื่องมือปกติที่มีในไทยทำไม่ได้เลย ต้องใช้เครื่องมือของมันโดยเฉพาะ
ฉะนั้นจึงเกิดคำถามตัวโตๆ... บรรดารถหรูระดับมากกว่า 10 ล้านบาท โดยเฉพาะซูเปอร์คาร์ เหมือนอย่างรถเกิดไฟไหม้ 6 คัน เป็นไปได้หรือที่จะเป็นรถจดประกอบ?!!
มากกว่านั้นบางรายถึงกับนำรถใหม่ เข้ามาทำเป็นรถจดประกอบ เพราะลูกค้ามีความต้องการอยู่แล้ว(และรู้กัน) อย่างที่บอกราคาอย่างน้อยแตกต่างกันเป็นเท่าตัว เพราะทุกขั้นตอนถูกตีเป็นอุปกรณ์ชิ้นส่วนอะไหล่ หรือรถมือสอง จึงทำให้เสียภาษีต่ำกว่ารถใหม่นำเข้าทั้งคัน
นี่จึงเป็นเหตุผล ทำไม? กลุ่มผู้ค้ารถจดประกอบ(เชื่อว่าส่วนใหญ่ แต่ผู้ที่ทำถูกก็มี) นำเข้ารถมาทั้งคันหรือเกือบจะทั้งคัน โดยถอดเพียงแค่ล้อ หรืออย่างมากถอดประตู และฝากระโปรงด้วย เพราะเป็นชิ้นส่วนที่สามารถประกอบได้ง่ายๆ อยู่แล้ว จากนั้นจับใส่ตู้คอนเทนเนอร์ แล้วส่งมาขึ้นท่าเรือแหลมฉบัง หรือคลองเตย
เมื่อมาถึงท่าเรือและกระบวนการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรไทย เนื่องจากกฎหมายเองไม่มีความชัดเจน คำว่าชิ้นส่วนใช้แล้วนำมาจดประกอบ หมายถึงจะต้องแยกชิ้นส่วนขนาดไหน ซึ่งเรื่องนี้ในอดีตเคยมีอธิบดีกรมศุลกากร ต้องการให้ตีความให้ชัด แต่ที่สุดเรื่องก็เงียบหายไปกับสายลมเช่นเคย
ด้วยช่องโหว่ตรงนี้ จึงทำให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรบางราย ร่วมมือกับกลุ่มผู้ค้ารถจดประกอบ แลกกับการรับผลประโยชน์ เพียงดูเอกสารสำแดงนำเข้าที่ระบุว่า เป็นอุปกรณ์ชิ้นส่วนรถ หรืออะไหล่ โดยที่ไม่ได้มีการเปิดกล่องแต่อย่างใด หรือเปิดเพียงเป็นพิธี พอให้เห็นชิ้นส่วนที่แยกมาบางชิ้นเท่านั้น
จากนั้นออกใบอินวอยซ์ หรือใบแสดงรายการสินค้านำเข้าจากศุลกากร โดยเฉพาะหมายเลขโครงตัวถัง และเครื่องยนต์ของรถ เพื่อเสียภาษีศุลกากร และนำชิ้นส่วนอะไหล่(รถทั้งคัน) ออกมาทำเป็นรถจดประกอบ
บทสรุป... อุปกรณ์ชิ้นส่วน(รถทั้งคัน) เหล่านี้ จึงเสียภาษีนำเข้าเพียงไม่เกิน 30% (ของราคาประเมินอะไหล่) ขณะที่อัตรารถใหม่นำเข้าทั้งคันสูงถึง 80%
ขั้นตอนและรูปแบบการกระทำ
ตามกฎหมายของการที่จะทำรถจดประกอบ เมื่อนำอุปกรณ์ชิ้นส่วนรถเข้ามา จะต้องดำเนินการประกอบรถ กับผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตประกอบรถกรมสรรพสามิต ซึ่งเดิมจะมีเพียงไม่กี่แห่ง เพราะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญจริงๆ แต่ช่วงหลังภาครัฐต้องการสนับสนุนผู้ประกอบการ จึงอนุญาตให้มีโรงประกอบรถมากขึ้น
แม้จะมีอู่หรือโรงรับประกอบรถที่ได้รับใบอนุญาตมากขึ้น แต่ปัจจุบันในไทยยังคงมีอยู่น้อย หรือแทบจะไม่มีอู่ประกอบรถใดเลย ที่จะสามารถดำเนินการประกอบรถหรู รถสปอร์ต หรือซูเปอร์คาร์ได้ ไม่ว่าจะเป็นตัวช่าง หรือเครื่องมือต่างๆ เห็นได้จากการนำหมายศาลของดีเอสไอ เข้าตรวจค้นสถานประกอบการรถจดประกอบ 4 จุด ที่เกี่ยวข้องกับรถลัมบอร์กินี 1 ในรถ 4 คัน ที่เกิดเหตุไฟไหม้ ปรากฏว่าไม่มีสภาพที่จะประกอบรถหรู หรือซูเปอร์คาร์ได้เลย
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม บริษัทหรือกลุ่มผู้นำเข้ารถหรู ต่างก็ใช้ช่องทางเหล่านี้ ในการดำเนินธุรกิจนำเข้าและจดประกอบรถ ซึ่งต้องมีวิศวกรเป็นผู้รับรองมาตรฐานการประกอบรถคันนั้นๆ ด้วย จึงจะสามารถนำไปจดทะเบียนได้
ตามรายงานของดีเอสไอ พบผู้เกี่ยวข้องในการกระทำผิด เกี่ยวกับการดำเนินการประกอบรถจดประกอบ ได้แก่ ผู้นำเข้าอุปกรณ์ชิ้นส่วน(รถทั้งคัน) ผู้ประกอบรถ และนอมินี ซึ่งแยกเป็น 4 รูปแบบ อ้างดำเนินการทำรถจดประกอบ โดยรูปแบบแรกลูกค้าจะเป็นผู้ซื้อเครื่องยนต์ และอุปกรณ์รถยนต์ จากบริษัทที่เป็นนอมินีของผู้ประกอบรถ ซึ่งบริษัทผู้ประกอบรถจะทำหน้าที่เป็นผู้รับจ้างประกอบ พร้อมกับขายเฉพาะตัวถัง เพื่อให้ดูเหมือนว่าผู้บริโภคเป็นผู้นำเข้าเครื่องยนต์เอง และบริษัทประกอบรถไม่มีความเกี่ยวข้อง
รูปแบบที่ 2 บริษัทผู้ประกอบรถจะดำเนินการเอง ทั้งการซื้อตัวถัง เครื่องยนต์ และอุปกรณ์ชิ้นส่วน จากบริษัทนำเข้าโดยตรง เมื่อประกอบรถเสร็จจึงจะนำออกมาขายให้กับผู้บริโภคทั่วไป และแบบที่ 3 กลับกันลูกค้าจะเป็นผู้ซื้ออุปกรณ์ชิ้นส่วนต่างๆ ทั้งหมด และนำไปให้บริษัทผู้ประกอบรถทำการประกอบให้ แต่อาจจะมีการหาอุปกรณ์ตกแต่งให้
สุดท้ายรูปแบบที่ 4 จะคล้ายๆ กัน ลูกค้าเป็นผู้ซื้อตัวถัง เครื่องยนต์ และอุปกรณ์ชิ้นส่วนจากผู้นำเข้า โดยชิ้นส่วนตกแต่งจะซื้อจากบริษัทนอมินี ซึ่งจากข้อมูลของดีเอสเชื่อว่า ส่วนใหญ่รถหรูที่นำไปจดทะเบียนส่วนใหญ่จะเป็นแบบแรก และรูปแบบที่ 4
แต่นั่นเป็นรูปแบบของการสำแดงเอกสารอ้างจดประกอบ ทั้งในการเสียภาษีสรรพสามิต และจดทะเบียนกับกรมขนส่งทางบก ซึ่งจริงๆ ล้วนเป็นเครือข่ายเดียวกัน และแทบจะไม่มีการประกอบรถ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นรถนำเข้ามาเกือบทั้งคัน(หรือทั้งคัน)
เมื่อกระบวนประกอบรถ(หลอกๆ) เสร็จแล้ว จึงนำรถดังกล่าวไปเสียภาษีสรรพสามิต จากนั้นหากเป็นรถที่ใช้เชื้อเพลิงเบนซิน หรือดีเซล ต้องไปให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.) ตรวจสอบสภาพรถตามมาตรฐานอุตสาหกรรม(มอก.) โดยเฉพาะเรื่องของมาตรฐานมลพิษ แต่ถ้าใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ หรือแก๊ส 100% ไม่ต้องตรวจกับสมอ. แต่ต้องมีการรับรองมาตรฐาน และความมั่นคงปลอดภัยจากวิศวกร ซึ่งอู่ประกอบรถจะดำเนินการให้
ผ่านกระบวนการต่างๆ เหล่านี้แล้ว และนำหลักฐานสำคัญต่างๆ สำเนาใบนำเข้า หรืออินวอยซ์ หลักฐานการตรวจสภาพรถจากสมอ.(ติดแก๊สไม่ต้องมี) และสำเนาใบเสียภาษีสรรพสามิต นำไปขอจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก อาจจะในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัดก็ได้
เปิดเส้นทางรถหรูจดประกอบ เลี่ยงภาษี-ชาติสูญหมื่นล้าน ตอน 2 คลิก