ข่าวต่างประเทศ-บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป เผยกลยุทธ์ BMW Modular Engine Architecture โดยวางแผนลงทุนเพิ่มอีกเกือบ 300 ล้านยูโร (ประมาณ 12,000 ล้านบาท) เพื่อเพิ่มดีกรีความเข้มข้นของเทคโนโลยี EfficientDynamics สำหรับประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งในไลน์เครื่องยนต์เบนซินและดีเซล 3 สูบ, 4 สูบ และ 6 สูบ ซึ่งจะนำมาใช้ในรถยนต์แบรนด์ BMW และ MINI
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในฐานะ The World’s Most Sustainable Car Company จากการจัดอันดับโดย Dow Jones Sustainability Index ถึง 6 สมัยซ้อน ได้นำเสนอรถยนต์ถึง 52 รุ่นภายใต้แบรนด์ BMW และ MINI ที่มีค่าเฉลี่ยอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ต่ำกว่า 140 กรัมต่อกิโลเมตร ซึ่ง 19 จาก 52 รุ่นดังกล่าว มีค่าเฉลี่ยอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ต่ำกว่า 120 กรัมต่อกิโลเมตร และด้วยความมุ่งมั่นอย่างไม่หยุดยั้ง บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป จึงพัฒนาเทคโนโลยี EfficientDynamics ไปอีกขั้นด้วยเทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่ล้ำสมัย เพื่อช่วยให้รถยนต์ในสังกัดมีประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ดียิ่งๆ ขึ้น โดยได้วางแผนลงทุนเพิ่มอีกเกือบ 300 ล้านยูโร (ประมาณ 12,000 ล้านบาท) เพื่อปรับระบบการผลิตให้ตอบสนองกับความต้องการของกลยุทธ์ใหม่นี้
เกี่ยวกับกลยุทธ์ BMW Modular Engine Architecture ว่าด้วยหลักการออกแบบโครงสร้างเครื่องยนต์และเทคโนโลยีส่วนต่างๆ ที่มีความยืดหยุ่นและ Scalability สูง สามารถใช้ร่วมกันได้ในเครื่องยนต์รุ่นต่างๆ กัน ทั้งระบบเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล รวมถึงเครื่องยนต์ขนาดต่างๆ ทั้ง 3 สูบ, 4 สูบ และ 6 สูบ โดยเริ่มต้นตั้งแต่ขั้นตอนการพัฒนาไปจนถึงกระบวนการผลิต เพื่อให้เครื่องยนต์รุ่นต่างๆ มีชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่สามารถใช้ร่วมกันได้มากที่สุด ทั้งยังเป็นการประหยัดทรัพยากรในแง่ของวัสดุและพลังงาน รวมถึงมีส่วนช่วยลดคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ตลอดทั้งกระบวนการ เพื่อเป็นการสานต่อปรัชญาอนาคตที่ยั่งยืน หรือ Sustainability ที่ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ได้ตั้งใจอย่างมุ่งมั่นในการเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในอุตสาหกรรมยานยนต์
ด้านรายละเอียดเครื่องยนต์ของ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ตั้งอยู่บนหลักการของเครื่องยนต์แบบ in-line หรือ เครื่องยนต์ลูกสูบแถวเรียง ทั้งในระบบเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล โดยในแต่ละสูบจะมีความจุประมาณ 500 ซีซี ซึ่งเป็นขนาดของห้องเผาไหม้ที่ให้ประสิทธิภาพด้านเทอร์โมไดนามิกส์ที่ดีที่สุด ดังนั้นความจุเครื่องยนต์ก็จะเป็นสัดส่วนโดยตรงกับจำนวนกระบอกสูบ เช่น 4 สูบ 2,000 ซีซี และ 6 สูบ 3,000 ซีซี นอกจากนั้นระบบวิศวกรรมโครงสร้างเครื่องยนต์ยังถูกออกแบบให้สามารถใช้ชิ้นส่วนอุปกรณ์ร่วมกันได้สะดวกในเครื่องยนต์รุ่นต่างกัน
ทั้งนี้ สัดส่วนของชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่สามารถใช้ร่วมกันได้สำหรับในเครื่องยนต์รุ่นต่างกันจะอยู่ในระดับ 60 เปอร์เซ็นต์โดยประมาณ นอกจากนั้น เครื่องยนต์ 3 สูบและ 4 สูบทั้งในระบบเบนซินและดีเซล ยังได้รับการออกแบบให้สามารถติดตั้งได้ทั้งในแนวยาวและแนวขวาง เพื่อให้สามารถใช้ร่วมกันได้สำหรับรถ BMW และ MINI ในอนาคตได้อีกด้วย
อีกหนึ่งจุดเด่นของกลยุทธ์ BMW Modular Engine Architecture คือ Scalability ซึ่งหมายความว่าเครื่องยนต์บล็อกหนึ่ง สามารถแตกแขนงออกได้เป็นหลายรุ่น เพื่อให้ได้ power output ที่เหมาะสมกับความต้องการของรถรุ่นต่างๆ ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการลงทุนจาก Economy Of Scale ที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังเป็นการประหยัดพลังงานและทรัพยากร ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิตในเวลาเดียวกัน
สำหรับผลิตภัณฑ์แรกภายใต้กลยุทธ์ BMW Modular Engine Architecture คือ เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ซึ่งได้ผนวกรวมระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ VALVETRONIC และระบบ HPI High Precision Injection ที่ฉีดน้ำมันด้วยความดันสูงตรงเข้ากระบอกสูบ โดยเครื่องยนต์เบนซินรุ่นล่าสุดภายใต้รหัส 28i นี้ได้รับการติดตั้งในรถอเนกประสงค์ BMW X1 xDrive28i เป็นรุ่นแรก มีกำลังสูงสุด 245 แรงม้า (ซึ่งสูงกว่าเครื่องยนต์ 4 สูบ 2.0 ลิตรในรุ่นก่อนหน้าถึงเกือบ 45% หรือ 75 แรงม้า) และแรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตรตั้งแต่รอบเครื่องยนต์เพียง 1,250 รอบ
นอกจากเครื่องยนต์รหัส 28i รุ่นล่าสุดนี้จะช่วยให้ BMW X1 xDrive28i มีสมรรถนะเป็นเลิศ ทั้งในด้านพละกำลังขับเคลื่อนและความปราดเปรียวว่องไวแล้ว ยังเป็นสุดยอดในด้านความประหยัดน้ำมันและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย โดย BMW X1 xDrive28i มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 6.5 วินาที (เร็วขึ้น 4% หรือ 0.3 วินาที) และมีอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ย 12.7 กิโลเมตรต่อลิตร (ประหยัดเพิ่มขึ้น 16% เทียบกับรุ่นก่อนหน้าที่ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบ 3.0 ลิตร)
สมรรถนะระดับสุดยอดของเครื่องยนต์ 4 สูบ 2.0 ลิตร รหัส 28i นี้ยังมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีล้ำสมัยในอีกหลายส่วน นอกเหนือไปจากระบบ BMW TwinPower Turbo ที่ได้กล่าวมาแล้ว ยกตัวอย่างเช่น balance shaft แบบ offset ตามแนวตั้ง และฟลายวีลล์แบบ dual mass ที่มีการติดตั้งระบบลูกตุ้มเหวี่ยงรวมอยู่ เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อช่วยลดแรงเหวี่ยงของเครื่องยนต์โดยเฉพาะในรอบเครื่องยนต์ต่ำ ทำให้เครื่องยนต์รหัส 28i นี้สามารถสร้างแรงบิดได้ตั้งแต่รอบต่ำ แต่ยังคงเดินเรียบนิ่งให้ความสะดวกสบายสูงสุด
อีกหนึ่งสุดยอดเครื่องยนต์ระบบ BMW TwinPower Turbo คือ เครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ ความจุ 3.0 ลิตร ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo พร้อมทั้งระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ และเทคโนโลยีระบบฉีดน้ำมันแบบคอมมอนเรล ที่สามารถฉีดน้ำมันเป็นละอองละเอียดด้วยความดันสูงถึง 1,800 บาร์ จึงทำให้เครื่องยนต์ดีเซลรหัส 30d รุ่นใหม่นี้ มีความสามารถในการผลิตกำลังสูงสุด 258 แรงม้า (เพิ่มขึ้น 13 แรงม้า หรือ 5%) และแรงบิดสูงสุด 560 นิวตัน-เมตร (เพิ่มขึ้น 20 นิวตัน-เมตร หรือ 4%)
โดย BMW 530d xDrive ที่ได้รับการติดตั้งเครื่องยนต์รุ่นใหม่นี้ สามารถสร้างอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 6.1 วินาที มีอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ย 17.5 กิโลเมตรต่อลิตร และมีอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เฉลี่ยเพียง 150 กรัมต่อกิโลเมตร ภายใต้กลยุทธ์ BMW Modular Engine Architecture ระบบเครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียงและเครื่องยนต์ 4 สูบ ได้มีการออกแบบให้มีโครงสร้างเครื่องยนต์และตำแหน่งการจัดวางระบบสนับสนุนต่างๆ เช่น ปั๊มน้ำและปั๊มน้ำมันเครื่อง รวมถึงระบบสายพานต่างๆ ให้มีตำแหน่งเดียวกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตให้อยู่ในระดับสูงสุด
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในฐานะ The World’s Most Sustainable Car Company จากการจัดอันดับโดย Dow Jones Sustainability Index ถึง 6 สมัยซ้อน ได้นำเสนอรถยนต์ถึง 52 รุ่นภายใต้แบรนด์ BMW และ MINI ที่มีค่าเฉลี่ยอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ต่ำกว่า 140 กรัมต่อกิโลเมตร ซึ่ง 19 จาก 52 รุ่นดังกล่าว มีค่าเฉลี่ยอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ต่ำกว่า 120 กรัมต่อกิโลเมตร และด้วยความมุ่งมั่นอย่างไม่หยุดยั้ง บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป จึงพัฒนาเทคโนโลยี EfficientDynamics ไปอีกขั้นด้วยเทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่ล้ำสมัย เพื่อช่วยให้รถยนต์ในสังกัดมีประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ดียิ่งๆ ขึ้น โดยได้วางแผนลงทุนเพิ่มอีกเกือบ 300 ล้านยูโร (ประมาณ 12,000 ล้านบาท) เพื่อปรับระบบการผลิตให้ตอบสนองกับความต้องการของกลยุทธ์ใหม่นี้
เกี่ยวกับกลยุทธ์ BMW Modular Engine Architecture ว่าด้วยหลักการออกแบบโครงสร้างเครื่องยนต์และเทคโนโลยีส่วนต่างๆ ที่มีความยืดหยุ่นและ Scalability สูง สามารถใช้ร่วมกันได้ในเครื่องยนต์รุ่นต่างๆ กัน ทั้งระบบเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล รวมถึงเครื่องยนต์ขนาดต่างๆ ทั้ง 3 สูบ, 4 สูบ และ 6 สูบ โดยเริ่มต้นตั้งแต่ขั้นตอนการพัฒนาไปจนถึงกระบวนการผลิต เพื่อให้เครื่องยนต์รุ่นต่างๆ มีชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่สามารถใช้ร่วมกันได้มากที่สุด ทั้งยังเป็นการประหยัดทรัพยากรในแง่ของวัสดุและพลังงาน รวมถึงมีส่วนช่วยลดคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ตลอดทั้งกระบวนการ เพื่อเป็นการสานต่อปรัชญาอนาคตที่ยั่งยืน หรือ Sustainability ที่ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ได้ตั้งใจอย่างมุ่งมั่นในการเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในอุตสาหกรรมยานยนต์
ด้านรายละเอียดเครื่องยนต์ของ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ตั้งอยู่บนหลักการของเครื่องยนต์แบบ in-line หรือ เครื่องยนต์ลูกสูบแถวเรียง ทั้งในระบบเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล โดยในแต่ละสูบจะมีความจุประมาณ 500 ซีซี ซึ่งเป็นขนาดของห้องเผาไหม้ที่ให้ประสิทธิภาพด้านเทอร์โมไดนามิกส์ที่ดีที่สุด ดังนั้นความจุเครื่องยนต์ก็จะเป็นสัดส่วนโดยตรงกับจำนวนกระบอกสูบ เช่น 4 สูบ 2,000 ซีซี และ 6 สูบ 3,000 ซีซี นอกจากนั้นระบบวิศวกรรมโครงสร้างเครื่องยนต์ยังถูกออกแบบให้สามารถใช้ชิ้นส่วนอุปกรณ์ร่วมกันได้สะดวกในเครื่องยนต์รุ่นต่างกัน
ทั้งนี้ สัดส่วนของชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่สามารถใช้ร่วมกันได้สำหรับในเครื่องยนต์รุ่นต่างกันจะอยู่ในระดับ 60 เปอร์เซ็นต์โดยประมาณ นอกจากนั้น เครื่องยนต์ 3 สูบและ 4 สูบทั้งในระบบเบนซินและดีเซล ยังได้รับการออกแบบให้สามารถติดตั้งได้ทั้งในแนวยาวและแนวขวาง เพื่อให้สามารถใช้ร่วมกันได้สำหรับรถ BMW และ MINI ในอนาคตได้อีกด้วย
อีกหนึ่งจุดเด่นของกลยุทธ์ BMW Modular Engine Architecture คือ Scalability ซึ่งหมายความว่าเครื่องยนต์บล็อกหนึ่ง สามารถแตกแขนงออกได้เป็นหลายรุ่น เพื่อให้ได้ power output ที่เหมาะสมกับความต้องการของรถรุ่นต่างๆ ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการลงทุนจาก Economy Of Scale ที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังเป็นการประหยัดพลังงานและทรัพยากร ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิตในเวลาเดียวกัน
สำหรับผลิตภัณฑ์แรกภายใต้กลยุทธ์ BMW Modular Engine Architecture คือ เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ซึ่งได้ผนวกรวมระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ VALVETRONIC และระบบ HPI High Precision Injection ที่ฉีดน้ำมันด้วยความดันสูงตรงเข้ากระบอกสูบ โดยเครื่องยนต์เบนซินรุ่นล่าสุดภายใต้รหัส 28i นี้ได้รับการติดตั้งในรถอเนกประสงค์ BMW X1 xDrive28i เป็นรุ่นแรก มีกำลังสูงสุด 245 แรงม้า (ซึ่งสูงกว่าเครื่องยนต์ 4 สูบ 2.0 ลิตรในรุ่นก่อนหน้าถึงเกือบ 45% หรือ 75 แรงม้า) และแรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตรตั้งแต่รอบเครื่องยนต์เพียง 1,250 รอบ
นอกจากเครื่องยนต์รหัส 28i รุ่นล่าสุดนี้จะช่วยให้ BMW X1 xDrive28i มีสมรรถนะเป็นเลิศ ทั้งในด้านพละกำลังขับเคลื่อนและความปราดเปรียวว่องไวแล้ว ยังเป็นสุดยอดในด้านความประหยัดน้ำมันและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย โดย BMW X1 xDrive28i มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 6.5 วินาที (เร็วขึ้น 4% หรือ 0.3 วินาที) และมีอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ย 12.7 กิโลเมตรต่อลิตร (ประหยัดเพิ่มขึ้น 16% เทียบกับรุ่นก่อนหน้าที่ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบ 3.0 ลิตร)
สมรรถนะระดับสุดยอดของเครื่องยนต์ 4 สูบ 2.0 ลิตร รหัส 28i นี้ยังมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีล้ำสมัยในอีกหลายส่วน นอกเหนือไปจากระบบ BMW TwinPower Turbo ที่ได้กล่าวมาแล้ว ยกตัวอย่างเช่น balance shaft แบบ offset ตามแนวตั้ง และฟลายวีลล์แบบ dual mass ที่มีการติดตั้งระบบลูกตุ้มเหวี่ยงรวมอยู่ เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อช่วยลดแรงเหวี่ยงของเครื่องยนต์โดยเฉพาะในรอบเครื่องยนต์ต่ำ ทำให้เครื่องยนต์รหัส 28i นี้สามารถสร้างแรงบิดได้ตั้งแต่รอบต่ำ แต่ยังคงเดินเรียบนิ่งให้ความสะดวกสบายสูงสุด
อีกหนึ่งสุดยอดเครื่องยนต์ระบบ BMW TwinPower Turbo คือ เครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ ความจุ 3.0 ลิตร ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo พร้อมทั้งระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ และเทคโนโลยีระบบฉีดน้ำมันแบบคอมมอนเรล ที่สามารถฉีดน้ำมันเป็นละอองละเอียดด้วยความดันสูงถึง 1,800 บาร์ จึงทำให้เครื่องยนต์ดีเซลรหัส 30d รุ่นใหม่นี้ มีความสามารถในการผลิตกำลังสูงสุด 258 แรงม้า (เพิ่มขึ้น 13 แรงม้า หรือ 5%) และแรงบิดสูงสุด 560 นิวตัน-เมตร (เพิ่มขึ้น 20 นิวตัน-เมตร หรือ 4%)
โดย BMW 530d xDrive ที่ได้รับการติดตั้งเครื่องยนต์รุ่นใหม่นี้ สามารถสร้างอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 6.1 วินาที มีอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ย 17.5 กิโลเมตรต่อลิตร และมีอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เฉลี่ยเพียง 150 กรัมต่อกิโลเมตร ภายใต้กลยุทธ์ BMW Modular Engine Architecture ระบบเครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียงและเครื่องยนต์ 4 สูบ ได้มีการออกแบบให้มีโครงสร้างเครื่องยนต์และตำแหน่งการจัดวางระบบสนับสนุนต่างๆ เช่น ปั๊มน้ำและปั๊มน้ำมันเครื่อง รวมถึงระบบสายพานต่างๆ ให้มีตำแหน่งเดียวกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตให้อยู่ในระดับสูงสุด