ทิ้งระยะจากการทำตลาดของรุ่นธรรมดาได้ไม่นาน ในตอนนี้แฟนๆ M Version ได้เสียเงินกันอีกครั้ง เพราะบีเอ็มดับเบิลยูเผยโฉม M5 รุ่นใหม่ล่าสุดออกมาแล้ว สวยสปอร์ตในทุกมุมมอง และเพียบพร้อมด้วยความหรูหราตามแบบฉบับซีรีส์ 5 ขณะที่เครื่องยนต์มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น จัดการถอดขุมพลังวี10 ออกไป และแทนที่ด้วยวี8 ตัวแรง อัดอากาศด้วยเทอร์โบ เพิ่มกำลังให้เหนือระดับจากรุ่นเดิม
M5 เป็นรหัสที่อยู่คู่กับซีรีส์ 5 มาตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 1980 โดยมีจุดเริ่มกับรุ่น E28 ซึ่งเป็นซีรีส์ 5 สายพันธุ์ที่ 2 และจากนั้นก็มีการวางขายควบคู่กับรุ่นธรรมดามาโดยตลอด แต่เน้นไปที่ตัวถังซีดานเป็นหลัก จนกระทั่งในรุ่นที่แล้วจึงเพิ่มทางเลือกด้วยตัวถังแวกอน
สำหรับรุ่นใหม่นี้ถือเป็นเจนเนอเรชันที่ 5 เมื่อนับเฉพาะ M5 แต่ถูกพัฒนาอยู่บนพื้นฐานของซีรีส์ 5 รุ่นใหม่ ซึ่งเป็นเจนเนอเรชันที่ 6 มีรหัสตัวถัง F10/F11 โดยความเปลี่ยนแปลงหลักๆ เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นที่แล้ว คือ เครื่องยนต์ เพราะบีเอ็มดับเบิลยูปรับปรุงแนวคิดในการพัฒนาให้สอดคล้องกับยุคสมัยด้วยการเน้นเครื่องยนต์บล็อกเล็ก ซีซีน้อย แต่แรงเร้าใจด้วยการใช้ระบบอัดอากาศเข้ามาช่วยเสริมกำลัง ใน M5 ใหม่ เมื่อเปิดฝากระโปรงขึ้นมาจะยังพบกับเครื่องยนต์แบบ V เหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิม คือ จำนวนสูบลดลงมาอยู่ที่ 8 สูบ และความจุจากเดิม 5,000 ซีซีก็เหลือแค่ 4,400 ซีซี แต่จำนวนแรงม้ามากกว่าเยอะ เพราะได้เทอร์โบถึง 2 ตัวมาช่วยทำงาน
เครื่องยนต์รุ่นนี้เด่นด้วยเทคโนโลยี M TwinPower Turbo ซึ่งเป็นการจับเอาเครื่องยนต์วี8 4,400 ซีซี มาจับคู่กับเทอร์โบคู่แบบ Twin Scroll ปรับบูสต์สูงสุดเอาไว้ที่ 1.5 บาร์ พร้อมระบบไดเร็กต์อินเจ็กชัน หรือ Di จ่ายน้ำมันเข้าสู่ห้องเผาไหม้โดยตรง และระบบวาล์วแปรผัน VALVETRONIC
ทั้งแรงม้าและแรงบิดเพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิมในระดับ 10 และ 30% โดยมีตัวเลขอยู่ที่ 560 แรงม้า ที่ 6,000-7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 69.3 กก.-ม. ที่ 1,500-5,750 รอบ/นาที หน้าที่ในการส่งกำลังเป็นงานของเกียร์แบบ Double Clutch แบบ 7 จังหวะรุ่น M DCT Drivelogic สามารถเลือกโหมดการทำงานให้สัมพันธ์กับการขับขี่ได้อย่างลงตัวทั้งในรูปแบบมาตรฐาน และเน้นความเร้าใจแบบสปอร์ต พร้อมติดตั้งระบบ Launch Control มาให้ด้วยเพื่อการออกตัวที่ดียิ่งขึ้น แต่ดูเหมือนว่าในรุ่นนี้จะไม่มีโหมดปรับลดแรงม้าแบบ 400 และ 500 เหมือนกับรุ่นที่แล้วมาให้ด้วย
เมื่อส่งกำลังสู่ล้อหลังในการขับเคลื่อน ตัวรถมีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 4.4 วินาที และ 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้เวลา 13 วินาที ส่วนความเร็วปลายถ้าไม่ถูกล็อกสามารถทำได้ถึง 305 กิโลเมตร/ชั่วโมง
การทำตลาดน่าจะเริ่มขึ้นในยุโรปปลายปีนี้ หลังจากอวดโฉมอย่างเป็นทางการใน IAA2011 หรือแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ ส่วนราคายังไม่เปิดเผย แต่แพงกว่ารุ่นเดิมแน่ๆ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ในบ้านเราเมื่อรวมภาษีด้วยแล้ว ราคาไม่น่าต่ำกว่า 15 ล้านบาทอย่างแน่นอน