ปี 2011 เป็นปีฉลองครบรอบ 1 ศตวรรษของแรลลี่มอนติคาร์โล รายการแข่งขันแรลลี่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดรายการหนึ่งของโลก ด้วยความหฤโหดของเส้นทางที่ต้องขับผ่านเทือกเขาแอลป์อันเต็มไปด้วยภูเขาหิมะ และมินิได้สร้างประวัติศาสตร์ในฐานะรถเล็กที่พิชิตชัยได้สำเร็จ ท่ามกลางผู้เข้าแข่งขันและรถยนต์เปี่ยมสมรรถนะหลายร้อยแรงม้า ในยุคทศวรรษที่ 1960 นี้เองที่ทำให้ชื่อเสียงของมินิโด่งดังก้องโลกมาจนทุกวันนี้
เพื่อเป็นการฉลองวาระครบรอบหนึ่งศตวรรษของแรลลี่มอนติคาร์โล Rauno Aaltonen เจ้าของฉายา ‘Rally Professor’ อดีตแชมป์โลกชาวฟินแลนด์ และ Helmut Artacker นักแข่งชาวออสเตรียได้ขับ Mini Cooper S พร้อมกับบรรดารถคลาสสิกจากเหล่าอดีตผู้แข่งขันและแฟนคลับ ร่วมการขับย้อนรอยรำลึกอดีตในกิจกรรม Rallye Monte Carlo Historique
จุดเริ่มต้นของการขับย้อนรอยรำลึกอดีตมีรูปแบบเหมือนในการแข่งขันจริง โดยรถที่เข้าร่วมจะเริ่มต้นจากเมืองต่างๆ ขับผ่านสเตจพิเศษใน 5 เมืองหลัก ก่อนเข้าชิงชัยในสเตจสุดท้ายที่เมืองมอนติคาร์โล ซึ่งทีมมินิได้โจทย์ให้เริ่มต้นจากเมืองมาร์ราเคชในประเทศโมรอคโค ต้องแล่นผ่านเส้นทางหฤโหดกว่า 2,600 กิโลเมตรก่อนจะถึงจุดหมายปลายทาง อย่างไรก็ตาม กิจกรรมครั้งนี้ต่างออกไป เพราะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ความสนุกสนาน และไมตรีต่อกันและกันอย่างถ้วนหน้า
“บรรยากาศโดยรวมเต็มไปด้วยสนุกสนานและเป็นมิตร โดยเฉพาะจุดเริ่มต้นที่โมรอคโค มันช่างราวกับภาพยนตร์เรื่อง The Arabian Nights ขบวนของเรามีตำรวจนำผ่านเมืองต่างๆ ซึ่งชาวเมืองได้ออกมาต้อนรับอย่างเป็นมิตร จากนั้นเราได้ขับเข้าสู่เมืองอัลเกเซราสและเมืองอัลลิคันเต้ ก่อนขับเข้าสู่สเตจหฤโหดกว่า 30 ชั่วโมงผ่านเมืองบาร์เซโลน่าและเทือกเขาไพเรนีส รวมถึงเทือกเขาแอลป์ตอนใต้ เพื่อเข้าสู่เมืองมอนติคาร์โล” Rauno Aaltonen กล่าว
ในวันต่อมา เมื่อมาถึงถนนอัลเบิร์ตที่ 1 ใจกลางเมืองโมนาโค เป็นโอกาสแรกที่รถทุกคันที่เข้าร่วมรายการได้มารวมตัวกัน ส่วนหนึ่งเริ่มจากที่เมืองมาร์ราเคชเหมือนทีมมินิ ในขณะทีมที่เหลือเริ่มจากเมืองต่างๆ ทั่วยุโรปเหมือนในอดีต เช่น เมืองไรม์ในประเทศฝรั่งเศส, เมืองวอร์ซอว์ในประเทศโปแลนด์, เมืองบาร์เซโลน่าในประเทศสเปน และเมืองกลาสโกลว์ในประเทศอังกฤษ ทั้งหมดรวมแล้ว 328 คันที่เข้าร่วมการเดินทางประวัติศาสตร์ครั้งนี้ ก่อนสเตจสุดท้ายจะเริ่มขึ้น หิมะก็โปรยปรายลงมาอีกครั้ง ด้วยความสูงของหิมะกว่า 10 เซ็นติเมตร รถที่เข้าร่วมแข่งทั้งหลายต่างก็ไม่ได้เตรียมพร้อมใส่ยางที่มีปุ่มสำหรับวิ่งบนหิมะโดยเฉพาะ
Rally Professor เล่าถึงวันนั้นว่า “เราต่างประคองรถผ่านโค้งแล้วโค้งเล่าอย่างระมัดระวัง เพราะว่าเราไม่ได้มาแข่งเพื่อชิงชัยเหมือนในอดีต ต่างก็รักตัวเองและรักรถเป็นชีวิตจิตใจ ด้วยหิมะที่ตกลงมาอย่างหนักในตอนเช้า ทำให้สภาพบรรยากาศในตอนบ่ายเป็นทิวทัศน์ที่ดูแปลกตา แต่นับส่วนหนึ่งของเสน่ห์ของแรลลี่มอนติคาร์โล ที่ทุกเขาทุกโค้งแตกต่างกันตามวาระและโอกาส ยากที่จะคาดเดาได้ ต้องใช้ทั้งฝีมือและทักษะ พร้อมกับสมาธิอันแน่วแน่มั่นคง”
อากาศเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในวันต่อมา คราวนี้ฟ้าเปิดสดใสทำให้นักขับต่างโล่งใจขึ้นมาก เพราะว่าเส้นทางรอบเมืองวาเลนซ์ในประเทศฝรั่งเศสขึ้นชื่อเรื่องความโหด เต็มไปด้วยทางโค้งที่ท้าทายกว่า 350 กิโลเมตร รวมถึงสเตจสุดท้ายที่เป็นเส้นทางจากเมืองวาเลนซ์กลับเข้าสู่มอนติคาร์โลก็น่ากลัวไม่แพ้กัน อีกทั้งยังมีเส้นทางขึ้นช่องเขาโคล์ เดอร์ ตูรินี ซึ่งเป็นเส้นทางเขาสูงบนเทือกเขาแอลป์ที่ต้องวิ่งในเวลากลางคืน และความหฤโหดในส่วนสุดท้ายนี้เองที่ได้กลายเป็นสมญานามของคืนสุดท้ายในแรลลี่มอนติคาร์โลว่า ‘Night of the Long Knives’
อดีตแชมป์โลกชาวฟินแลนด์ ได้เล่าถึงทริปย้อนประวัติศาสตร์ครั้งนี้ว่า “หลายสิ่งหลายความรู้สึกยังมีความคล้ายคลึงกับยุคทศวรรษที่ 1960 แต่คราวนี้เราเพียงขับสนุกๆ ฉันท์มิตรร่วมรำลึกถึงอดีต ผมยังจำได้ดีว่านอกจากความปราดเปรียวและความเบาของรถมินิแล้ว ความพร้อมของทีมมินิในสมัยนั้นเป็นปัจจัยสำคัญแห่งความสำเร็จ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมขับมินิเพื่อฉลองวาระครบรอบ 1 ศตวรรษของแรลลี่มอนติคาร์โลครั้งนี้ มันเป็นความรู้สึกตื่นเต้นเหมือนได้เจอสหายเก่าที่ไม่ได้พบหน้ากันหลายสิบปี”
ตบท้ายด้วยการกล่าวทีเล่นทีจริงอีกว่า “ถ้าได้ขับ MINI WRC ลงแข่งแรลลี่มอนติคาร์โลจริงๆ คงจะมันส์ทีเดียว”