xs
xsm
sm
md
lg

เปิดตำนาน 75 ปี BMW "โรดสเตอร์"(2)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หลังจากห่างหายไปจากการทำตลาดมาเนิ่นนานนับทศวรรษ บีเอ็มดับเบิลยู กลับมาฟื้นคืนชีพให้กับรถสปอร์ตโรดสเตอร์ของตัวเองอีกครั้งภายใต้ชื่อนำหน้าใหม่ ตระกูล แซด(Z)
Z1
BMW Z1 ไฮเทคโรดสเตอร์

เกือบ 3 ทศวรรษที่รถยนต์แบบโรดสเตอร์ห่างหายไปจากวงการ โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษที่ 1960 และ 1970 ที่ผู้บริโภคเน้นในเรื่องของความอเนกประสงค์และประโยชน์ใช้สอยมากกว่าเรื่องของมอเตอร์สปอร์ต

ในปีค.ศ. 1955 บีเอ็มดับเบิลยูกลับมาสู่คอนเซ็ปต์โรดสเตอร์อีกครั้งด้วย BMW Z1 ซึ่งตั้งใจจะให้เป็นโชว์เคสในด้านการพัฒนาและผลิตรถยนต์ ด้วยการใช้เทคโนโลยีวัสดุศาสตร์ขั้นสุดยอด BMW Z1 ใช้โครงสร้างตัวถังแบบโมโนคอร์คผลิตจากเหล็กกล้า แต่พื้นผิวทั้งหมดรวมทั้งพื้นตัวรถนั้นผลิตจากพลาสติก

BMW Z1 ใช้เครื่องยนต์แบบ 6 สูบแถวเรียง ขนาด 2.5 ลิตร สามารถผลิตกำลังสูงสุด 170 แรงม้า และเพื่อการกระจายน้ำหนักแบบสมดุล 50:50 เครื่องยนต์นั้นถูกวางอยู่ในตำแหน่งหลังเพลาหน้า หรือที่เรียกว่า ‘วางเครื่องกลางลำ’ BMW Z1 จึงเป็นรถโรดสเตอร์พันธุ์แท้ที่โดดเด่นด้วยความปราดเปรียว คล่องตัว และด้วยน้ำหนักเพียง 1,250 กิโลกรัม BMW Z1 สามารถเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 8 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 225 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

อยู่ในสายการผลิตระหว่างปีค.ศ. 1989 ถึงค.ศ. 1991 BMW Z1 ถูกผลิตขึ้นทั้งหมดเพียง 8,000 คัน

Z3
BMW Z3 การกลับมาที่ยิ่งใหญ่ของ BMW Roadster

ด้วยอานิสงค์ของ BMW Z1 ที่สร้างความตื่นตัวสำหรับโรดสเตอร์ขึ้นอีกครั้งหลังจากห่างหายไปร่วมสามทศวรรษ บีเอ็มดับเบิลยูจึงเดินหน้าโปรเจครถโรดสเตอร์สองที่นั่งขนาดเล็กอย่างเต็มที่ ในปีค.ศ. 1995 บีเอ็มดับเบิลยูได้ประกาศเปิดตัว BMW Z3 ที่รวมเอาทั้งความทรงเสน่ห์ของดีไซน์โรดสเตอร์พันธุ์แท้และความปราดเปรียวคล่องตัวที่สะท้อนคำนิยาม Sheer Driving Pleasure ของบีเอ็มดับเบิลยูได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ความสำเร็จในด้านความนิยมและยอดขายของ BMW Z3 จัดได้ว่าเป็นการกลับมาที่ยิ่งใหญ่ของ BMW Roadster ซึ่งในอดีตเคยเป็นที่ใฝ่ฝันของแฟนๆบีเอ็มดับเบิลยู แต่ด้วยราคาที่ค่อนข้างสูงจึงทำให้ความฝันกลายเป็นจริงได้เพียงแฟนกลุ่มเล็กเท่านั้น และด้วยความสำเร็จในด้านยอดขายนี้ จึงทำให้บีเอ็มดับเบิลยูสามารถขยายไลน์ของ BMW Z3 ได้มากหลากหลายรุ่นตั้งแต่เครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร 115 แรงม้า ไปจนถึงเครื่องยนต์สมรรถนะสูง M-Power แบบ 6 สูบแถวเรียงขนาด 3.2 ลิตรซึ่งสามารถผลิตกำลังได้ถึง 325 แรงม้า

Z8
BMW Z8 โรดสเตอร์ระดับเทพแห่งสหัสวรรษ

พร้อมกับการเฉลิมฉลองสหัสวรรษใหม่ บีเอ็มดับเบิลยูได้เปิดตัว BMW Z8 ซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยสมรรถนะที่เหนือชั้น เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย รูปทรงที่สง่างามไร้ที่ติ และหัวใจแห่งความอมตะของโรดสเตอร์สายพันธุ์แข่ง ด้วยมิติความยาว 4.40 เมตร ความกว้างถึง 1.83 เมตร และความสูงเพียง 1.31 เมตร อีกทั้งเทคโนโลยีล้ำหน้าจากอนาคต และความหรูหราขั้นสุดยอด BMW Z8 จึงเรียกได้ว่าเป็นการกลับมาของโรดสเตอร์ระดับเทพด้วยจิตวิญญาณของ BMW 507

นอกจาก BMW Z8 จะมีเครื่องยนต์แบบ V8 ขนาด 5.0 ลิตรที่สมรรถนะสูงแต่น้ำหนักเบา สามารถผลิตกำลังได้ถึง 400 แรงม้าแล้ว ระบบเทคโนโลยีของแชสซีและตัวถังยังไม่เป็นสองรองใครด้วยเทคโนโลยีสเปซเฟรมแบบโมโนคอร์คผลิตจากวัสดุอลูมิเนียม ด้วยเหตุนี้ BMW Z8 จึงเป็นรถที่สามารถถ่ายทอดอารมณ์การขับขี่รวมถึงความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างผู้ขับกับรถได้ดีที่สุดคันหนึ่ง และสถิติเวลาเพียง 8.15 นาทีในการวิ่ง 20 กิโลเมตรรอบสนาม Nordschleife ของเนอร์เบิร์กริงจึงเป็นหนึ่งในบทพิสูจน์ความสุดยอดของ BMW Z8
Z4
BMW Z4 เจเนอร์เรชั่นที่ 1 เข้าถึงแก่นแห่งจิตวิญญาณโรดสเตอร์

ในปีค.ศ. 2002 บีเอ็มดับเบิลยูได้เปิดตัว BMW Z4 รุ่นแรกในงานปารีสมอเตอร์โชว์ หัวใจหลักของ BMW Z4 รุ่นนี้คือการเข้าถึงแก่นแห่งจิตวิญญาณโรดสเตอร์ในสไตล์แบบดิบๆ BMW Z4 จึงจัดได้ว่าเป็นรถโรดสเตอร์ที่เป็นที่ชื่นชอบของบรรดาแฟนพันธุ์แท้แบบ Purist ไม่ว่าจะเป็นการที่มีความสมดุลของการกระจายน้ำหนัก 50:50 หรือการที่มีแทร็คที่กว้างมากและจุดศูนย์ถ่วงต่ำ รวมถึงความแม่นยำที่เหนือชั้นของระบบพวงมาลัย ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการกลับมาอีกครั้งของโรดสเตอร์พันธุ์แข่งแบบดิบๆในสไตล์ BMW 328
Z4 Generation 2
BMW Z4 เจเนอร์เรชั่นที่ 2 The Refined Roadster Style and Performance in Harmony

และในปีค.ศ. 2009 นี้ บีเอ็มดับเบิลยูก็ได้เปิดตัวโรดสเตอร์ภาคต่อของ BMW Z4 ภายใต้คอนเซ็ปต์ที่มีความแตกต่างจากเจเนอร์เรชั่นแรกอยู่บ้าง กล่าวคือลดความดิบลงและเพิ่มความหรูหรา สะดวกสบายเพื่อตอบสนองตลาดที่กว้างขึ้น BMW Z4 เจเนอร์เรชั่นที่ 2 จึงเป็นการผสมผสานอย่างลงตัวของความคลาสสิกซึ่งสะท้อนผ่านสัดส่วนรูปทรง ‘หน้ายาว ท้ายสั้น’ ในแบบฉบับดั้งเดิมของดีไซน์โรดสเตอร์กับความทันสมัยที่สะท้อนผ่านพื้นผิวที่โค้งและเว้าแสดงออกถึงดุดันและเฉียบคม

BMW Z4 เจเนอร์เรชั่นที่ 2 ยังให้ความสะดวกสบายด้วยหลังคาแบบ RHT Retractable Hard Top น้ำหนักเบาซึ่งสามารถเปิด-ปิดหลังคาอัตโนมัติได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส อีกทั้งยังเป็นฉนวนป้องกันเสียงและความร้อนที่ดีเยี่ยมอีกด้วย นอกจากนั้นหนังสำหรับเบาะนั่งยังมี Sun Reflective Technology เพื่อสะท้อนความร้อนจากแดดเพื่อให้ผิวเบาะไม่ร้อนเกินไปเวลาที่จอดตากแดดไว้

ในด้านของสมรรถนะการขับขี่ BMW Z4 เจเนอร์เรชั่นที่ 2 นี้ก็ได้ผสมผสานความปราดเปรียวสปอร์ตคล่องตัวในสไตล์ของโรดสเตอร์อย่างเต็มรูปแบบ แต่ในเวลาเดียวกันก็สามารถให้ความสะดวกสบายได้อย่างเต็มที่ ด้วยระบบเทคโนโลยี Dynamic Drive Control ที่ทำหน้าที่ปรับระดับความอ่อนแข็งของระบบช่วงล่าง ปรับการตอบสนองของคันเร่งและเครื่องยนต์ รวมถึงการปรับระบบการควบคุมพวงมาลัย ซึ่งทำให้ BMW Z4 เจเนอร์เรชั่นที่ 2 นี้สามารถปรับเปลี่ยนคาแร็คเตอร์ของการขับขี่ได้หลายหลากอารมณ์ตั้งแต่การขับกินลมชมวิวไปจนถึงวันสนุกสุดสัปดาห์ track day นอกจากนั้นยังเป็นการเพิ่มความปลอดภัยเนื่องจากเซ็ตอัพของโรดสเตอร์คันโปรดนี้สามารถปรับให้เหมาะสมกับสภาพการขับได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส

ถึงแม้ว่า 75 ปีผ่านไป หัวใจของ BMW Roadster ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เหมือนกับช่วงหนึ่งของใบโฆษณาของ BMW 315/1 ในปีค.ศ. 1934 ที่กล่าวว่า “คำนิยามของ BMW Roadster คือ รถสปอร์ตที่ไม่เพียงแต่ปราดเปรียวรวดเร็ว แต่ต้องสง่างามในทุกมุมมอง และพร้อมที่จะสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่ตื่นเต้นเร้าใจอย่างเหนือชั้น อีกทั้งยังปลอดภัยและประหยัดเสมือนรถทัวร์ริ่งอีกด้วย”

กำลังโหลดความคิดเห็น