เปิดโครงสร้างราคาน้ำมันไทย ตอบปัญหาคาใจประชาชน ไม่ว่าน้ำมันตลาดโลกราคา 70 หรือ 140 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ทำไม? ราคาน้ำมันในไทยถึงแพงเท่ากัน! แฉชัดๆ มาจากรัฐกินนิ่มค่าภาษีและกองทุนน้ำมัน คิดเป็นสัดส่วนร่วม 50% ของราคาน้ำมันต่อลิตร เทียบกับปีที่แล้วที่น้ำมันดิบราคามากกว่า 110 เหรียญสหรัฐ ยังมีสัดส่วนแค่ 28% ทั้งที่สนพ.ระบุเงินจัดเก็บเข้ารัฐ อัตรามาตรฐานอยู่ที่ระดับ 30-35% เท่านั้น เผยเหตุรัฐบาลออกอาการถังแตก จนต้องปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตเป็น 7 บาทต่อลิตร แม้หลายฝ่ายจะออกมาค้าน เพราะปกติสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ รัฐบาลต้องช่วยลดภาระค่าครองชีพ แต่นี่กลับโยนภาระให้กับประชาชน แบกรับซะจนหน้าเขียว!
สร้างความกังขาไปทั่ว ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปัจจุบัน เคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 65-70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล แต่ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศ กลับแทบจะไม่แตกต่างจากเมื่อช่วงกลางปีที่แล้ว ที่ราคาน้ำมันดิบพุ่งไปมากกว่า 120 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จนสูงสุดกว่า 140 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล…
มันเกิดอะไรขึ้น? ทั้งที่เฉพาะราคาเนื้อน้ำมันดิบบาร์เรลละ 65 เหรียญสหรัฐ ซึ่งจำนวน 1 บาร์เรล เท่ากับ 159 ลิตร ฉะนั้นเฉลี่ยราคาก็ตกลิตรละ 0.40 เหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นเงินไทยก็อยู่ที่ลิตรละ 13.90 บาท (อัตราแลกเปลี่ยนที่ 34 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ)
แล้วทำไม?...พอกลายเป็นน้ำมันเบนซิน 95 ถึงพุ่งเป็น 39 บาทไปได้!
หรือยกตัวอย่างรายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงล่าสุด ของสำนักนโยบายแผนและพลังงาน(สนพ.) กระทรวงพลังงาน เมื่อวันที่ 13-19 ก.ค.ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ในตลาดจรสิงโปร์ 68.73 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งหากคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 14.70 บาทต่อลิตร แต่น้ำมันเบนซิน 95 ในไทยกลับพุ่งไป 38.64 บาท (20 ก.ค.2552)
จึงน่าสงสัยว่า... น้ำมันไทยมีค่าอะไรบ้าง? ที่บวกเข้าไปแล้ว จึงทำให้ราคาเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 2 เท่าตัว!!
ก่อนที่จะเจาะเข้าไปถึงสาเหตุที่ทำให้น้ำมันแพงมหาโหด มาทำความรู้จักโครงสร้างราคาน้ำมันของไทยก่อนดีกว่า...
จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(สพช.) โครงสร้างราคาน้ำมันของไทยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1.ราคาน้ำมันขายส่งหน้าโรงกลั่น และ 2.ราคาขายปลีก ซึ่งทั้งสองส่วนจะเกี่ยวข้อง และมีผลต่อราคาสุดท้าย ที่ผู้ใช้รถเติมจากปั๊มน้ำมันนั่นเอง
โดยราคาน้ำมันขายส่งหน้าโรงกลั่น จะประกอบไปด้วย ราคา ณ โรงกลั่น ที่หมายถึงต้นทุนในการซื้อน้ำมันดิบจากต่างประเทศ (เกือบทั้งหมดไทยนำเข้า) รวมค่าขนส่ง และค่ากระบวนการกลั่น บวกภาษีสรรพสามิต บวกภาษีเทศบาล บวกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง บวกกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และสุดท้ายภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) รวมกันออกมาเป็น… “ราคาขายส่ง ณ หน้าโรงกลั่น”
เมื่อโรงกลั่นขายต่อให้บริษัทน้ำมัน เป็นราคาขายส่ง ณ หน้าโรงกลั่น เพื่อจำหน่ายต่อให้กับประชาชนทั่วไป เรียกว่า... “ราคาขายปลีก”
แต่ก่อนที่จะมาเป็นราคาน้ำมันขายปลีก ย่อมต้องมีการบวกต้นทุนและกำไรต่างๆ เข้าไปอีก ประกอบไปด้วยราคาขายส่ง ณ หน้าโรงกลั่น และบวกค่าการตลาด ที่หมายถึงต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ หรือบริษัทน้ำมันยี่ห้อนั้นๆ เช่น ค่าจ้างแรงงาน ค่าขนส่งจากคลังน้ำมันไปยังสถานีบริการน้ำมัน ค่าสารปรับปรุงคุณภาพ ค่าส่งเสริมการตลาด และค่าผลตอบแทนในการดำเนินธุรกิจ เป็นต้น
สุดท้ายก็มาบวกภาษีมูลค่าเพิ่มซ้ำอีกรอบ จึงออกมาเป็น… “ราคาขายปลีก” (ดูตารางประกอบ) ที่จำหน่ายให้กับประชาชนผู้ใช้รถทั่วไป
ทั้งนี้สนพ. ได้สรุปโครงสร้างราคาน้ำมันของไทย แบ่งเป็นค่าต้นทุนในการซื้อน้ำมันจากโรงกลั่น หรือนำเข้าจากต่างประเทศ มีสัดส่วน 50-60% ค่าภาษีและกองทุนต่างๆ มีสัดส่วน 30-35% และค่าการตลาดจะอยู่ประมาณ 10%
มาถึงตรงนี้คงมีคำถามแล้วว่า... ในเมื่อโครงสร้างราคาน้ำมันก็ชัดเจน การขึ้น-ลงของน้ำมันก็น่าจะขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันโลกเป็นหลัก แล้วอะไร? เป็นเหตุให้ราคาน้ำมันไทยถึงแพงเท่ากัน ไม่ว่าราคาน้ำมันโลกจะ 70 หรือ 140 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันตลาดโลก ค่าการตลาด ภาษีสรรพสามิต และกองทุนน้ำมัน เป็นปัจจัยหลักของคำตอบ!
แน่นอนเรื่องราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก เราไม่สามารถกำหนดเองได้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่เรากำหนดเองอย่างภาษีทั้งหลาย และกองทุนน้ำมัน นั่นแหละที่ดูจะมีบทบาทที่ทำให้ราคาน้ำมันไทยแพงหูฉี่อยู่ขณะนี้
ทีนี้มาดูราคาน้ำมันวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา ราคาน้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 39.74 บาทต่อลิตร แต่จะพบว่าเงินที่เก็บเข้ารัฐในรูปแบบต่างๆ มีสัดส่วนมากถึง 45% (ดูตาราง 1 ประกอบ)
เป็นเงินภาษีสรรพสามิต 7 บาท ภาษีเทศบาล 0.70 บาท กองทุนน้ำมัน 7 บาท กองทุนอนุรักษ์ฯ 0.75 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือแวต คิดซ้อนกัน 2 ครั้ง เป็นเงิน 2.60 บาท รวมแล้วมากถึง 18.0499 บาท!!
ยิ่งน้ำมันเบนซิน 91 เงินเก็บเข้ารัฐพุ่งถึง 48% ส่วนน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 เก็บน้อยลงมาหน่อย เพราะเป็นพลังงานทดแทนที่รัฐสนับสนุนผ่านกองทุนน้ำมัน(เก็บน้อยลง หรือชดเชยแทนภาษีสรรพสามิต ส่งผลตัวเลขเงินจัดเก็บกองทุนน้ำมันบางรายการเป็น-) ทำให้สัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 36-37%
แต่ยังนับว่ามากกว่าสัดส่วน 30-35% ที่สนพ.ได้เเปิดเผยสัดส่วนค่าภาษีและกองทุนต่างๆ ที่มีสัดส่วน 30-35% เท่านั้น!!
อาจจะดูเป็นเรื่องไม่ผิดปกติ แต่เมื่อเทียบโครงสร้างราคาน้ำมันเบนซิน 95 ณ วันที่ 4 สิงหาคม 2551 อยู่ที่ 39.39 บาท (ดูตาราง 2 ประกอบ) ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันดิบอยู่ที่กว่า 110 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล (ดูต้นทุนราคาหน้าโรงกลั่นจะเห็นความแตกต่างชัดเจน) กลับพบความแตกต่างชัดเจน เพราะมีสัดส่วนเงินเก็บเข้ารัฐเพียง 27.50%
และไม่ต้องไปดูน้ำมันแก๊สโซฮอล์ทั้งหลาย เงินเก็บเข้ารัฐเพียงแค่ 2-3 บาทต่อลิตรเท่านั้น เนื่องจากได้รับการลดหย่อนภาษีสรรพสามิต จากมาตรการช่วยเหลือประชาชน “6 มาตรการ 6 เดือน ช่วยเหลือประชาชน” ของรัฐบาลอดีตนายกฯ “สมัคร สุนทรเวช” นับตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2551 – 31 มกราคม 2552 ภายหลังราคาน้ำมันปรับตัวพุ่งสูงถึงกว่า 40 บาทต่อลิตร เมื่อกลางปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้เกิดความเสียเปรียบ ให้ดูสัดส่วนเงินเก็บเข้ารัฐจากน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 เพราะไม่ได้อยู่ใน “6 มาตรการ 6 เดือน ช่วยเหลือประชาชน” และคงจะเห็นต้นตอราคาน้ำมันแพงได้อย่างชัดเจน
มาจากเงินที่รัฐจัดเก็บค่าภาษีและกองทุนน้ำมันจากผู้ค้าน้ำมันนั่นเอง!!
โดยจุดพลิกที่ทำให้น้ำมันในไทยปัจจุบันแพงผิดปกติ ย่อมมาจากการยกเลิกการลดหย่อนจัดเก็บภาษีสรรพสามิต จาก “6 มาตรการ 6 เดือน ช่วยเหลือประชาชน” ของรัฐบาลนายกฯ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 ที่ผ่านมา
และไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาลโอบามาร์คยังลักไก่ปรับภาษีสรรพสามิต น้ำมันเบนซินทุกประเภทชนเพดานสูงสุด 5 บาทต่อลิตร จากเดิมเรียกเก็บอยู่ที่ 3.685/4.685 บาทต่อลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลทุกประเภท เดิมจัดเก็บอยู่ที่ 2.1898/2.305 และ 2.405 บาทต่อลิตร ปรับขึ้นไปเป็น 2.190/3.305 และ4.00 บาทต่อลิตร ขณะที่ภาษีสรรพสามิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E10 ทุกประเภท และ E20 ปรับเพิ่มแบบปัดตัวเลขทศนิยม จาก 3.165 เป็น 3.317 บาทต่อลิตร
แต่นั่นยังไม่เท่าไหร่ หากเทียบกับการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันระลอก 2 ภายหลังรัฐบาลออกอาการถังแตก!
ด้วยการออกพระราชกำหนดขยายเพดานจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน โดยเพิ่มจาก 5 บาทต่อลิตร เป็น 10 บาทต่อลิตร ซึ่งกระทรวงการคลังได้ออกประกาศกระทรวง เพื่อให้มีผลบังคับใช้เกี่ยวกับอัตราการจัดเก็บภาษีน้ำมันเพิ่มขึ้นจากเดิม 2 บาทต่อลิตร หรือเป็น 7 บาทต่อลิตร (ยังไม่เต็มเพดาน) และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 14 พฤษภาคม 2552 เป็นต้นไป...
ทั้งที่เรื่องนี้หลายฝ่ายต่างออกมาแย้งไม่เห็นด้วย เพราะในสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเช่นนี้ รัฐควรจะช่วยประชาชนลดภาระค่าครองชีพ และลดต้นทุนทางธุรกิจ เพื่อร่วมกันกระตุ้นเศรษฐกิจชาติให้ยืนอยู่ได้
แน่นอนว่าราคาน้ำมันปัจจุบัน จึงล้วนจัดเก็บตามอัตราภาษีสรรพสามิตใหม่ แม้แต่น้ำมันแก๊สโซฮอล์ก็ไม่แตกต่าง โดยได้รับการอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเพียงแค่ไม่กี่สตางค์เท่านั้น ยกเว้นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี85
เหตุนี้จึงไม่แปลกที่สัดส่วนเงินเก็บเข้ารัฐ จะสูงถึง 36-48% ทั้งที่สนพ. เคยระบุว่าเงินค่าภาษีและกองทุนต่างๆ ที่รัฐเก็บจากผู้ค้าน้ำมันเพียงแค่ 30-35% ปัจจุบันมันจะพุ่งไปกว่า 36-48%
ฉะนั้นคำถามที่ว่า… ทำไม? ราคาน้ำมันไทยแพง ทั้งที่ราคาน้ำมันตลาดโลกต่ำกว่าเมื่อปีที่แล้ว คงจะได้คำตอบชัดเจนแล้ว… สาเหตุมาจากอะไร?! นอกจากการโยนให้บริษัทปตท., โรงกลั่น และราคาน้ำมันในตลาดโลก!!
ตาราง 1 : โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 3 สิงหาคม 2552
หมายเหตุ : ที่มา - สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน
หน่วย = บาท/ลิตร
อัตราแลกเปลี่ยน = 34.1916 บาท/เหรียญสหรัฐ
ราคาเอทานอล = 21.29 บาท/ลิตร
ราคไบโอดีเซล (B100) = 26.36 บาท/ลิตร
อ้างอิงราคาขายปลีกน้ำมันของบริษัท ปตท.
อ้างอิงราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95ของปิโตรนาส
ตาราง 2 : โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 4 สิงหาคม 2551
หมายเหตุ : ที่มา - สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน
หน่วย = บาท/ลิตร
อัตราแลกเปลี่ยน = 33.6592 บาท/เหรียญสหรัฐ
ราคาเอทานอล = 18.01 บาท/ลิตร
ราคไบโอดีเซล (B100) = 39.27 บาท/ลิตร
อ้างอิงราคาขายปลีกน้ำมันของบริษัท ปตท.
อ้างอิงราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน95 ของเชลล์
สร้างความกังขาไปทั่ว ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปัจจุบัน เคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 65-70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล แต่ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศ กลับแทบจะไม่แตกต่างจากเมื่อช่วงกลางปีที่แล้ว ที่ราคาน้ำมันดิบพุ่งไปมากกว่า 120 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จนสูงสุดกว่า 140 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล…
มันเกิดอะไรขึ้น? ทั้งที่เฉพาะราคาเนื้อน้ำมันดิบบาร์เรลละ 65 เหรียญสหรัฐ ซึ่งจำนวน 1 บาร์เรล เท่ากับ 159 ลิตร ฉะนั้นเฉลี่ยราคาก็ตกลิตรละ 0.40 เหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นเงินไทยก็อยู่ที่ลิตรละ 13.90 บาท (อัตราแลกเปลี่ยนที่ 34 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ)
แล้วทำไม?...พอกลายเป็นน้ำมันเบนซิน 95 ถึงพุ่งเป็น 39 บาทไปได้!
หรือยกตัวอย่างรายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงล่าสุด ของสำนักนโยบายแผนและพลังงาน(สนพ.) กระทรวงพลังงาน เมื่อวันที่ 13-19 ก.ค.ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ในตลาดจรสิงโปร์ 68.73 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งหากคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 14.70 บาทต่อลิตร แต่น้ำมันเบนซิน 95 ในไทยกลับพุ่งไป 38.64 บาท (20 ก.ค.2552)
จึงน่าสงสัยว่า... น้ำมันไทยมีค่าอะไรบ้าง? ที่บวกเข้าไปแล้ว จึงทำให้ราคาเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 2 เท่าตัว!!
ก่อนที่จะเจาะเข้าไปถึงสาเหตุที่ทำให้น้ำมันแพงมหาโหด มาทำความรู้จักโครงสร้างราคาน้ำมันของไทยก่อนดีกว่า...
จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(สพช.) โครงสร้างราคาน้ำมันของไทยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1.ราคาน้ำมันขายส่งหน้าโรงกลั่น และ 2.ราคาขายปลีก ซึ่งทั้งสองส่วนจะเกี่ยวข้อง และมีผลต่อราคาสุดท้าย ที่ผู้ใช้รถเติมจากปั๊มน้ำมันนั่นเอง
โดยราคาน้ำมันขายส่งหน้าโรงกลั่น จะประกอบไปด้วย ราคา ณ โรงกลั่น ที่หมายถึงต้นทุนในการซื้อน้ำมันดิบจากต่างประเทศ (เกือบทั้งหมดไทยนำเข้า) รวมค่าขนส่ง และค่ากระบวนการกลั่น บวกภาษีสรรพสามิต บวกภาษีเทศบาล บวกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง บวกกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และสุดท้ายภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) รวมกันออกมาเป็น… “ราคาขายส่ง ณ หน้าโรงกลั่น”
เมื่อโรงกลั่นขายต่อให้บริษัทน้ำมัน เป็นราคาขายส่ง ณ หน้าโรงกลั่น เพื่อจำหน่ายต่อให้กับประชาชนทั่วไป เรียกว่า... “ราคาขายปลีก”
แต่ก่อนที่จะมาเป็นราคาน้ำมันขายปลีก ย่อมต้องมีการบวกต้นทุนและกำไรต่างๆ เข้าไปอีก ประกอบไปด้วยราคาขายส่ง ณ หน้าโรงกลั่น และบวกค่าการตลาด ที่หมายถึงต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ หรือบริษัทน้ำมันยี่ห้อนั้นๆ เช่น ค่าจ้างแรงงาน ค่าขนส่งจากคลังน้ำมันไปยังสถานีบริการน้ำมัน ค่าสารปรับปรุงคุณภาพ ค่าส่งเสริมการตลาด และค่าผลตอบแทนในการดำเนินธุรกิจ เป็นต้น
สุดท้ายก็มาบวกภาษีมูลค่าเพิ่มซ้ำอีกรอบ จึงออกมาเป็น… “ราคาขายปลีก” (ดูตารางประกอบ) ที่จำหน่ายให้กับประชาชนผู้ใช้รถทั่วไป
ทั้งนี้สนพ. ได้สรุปโครงสร้างราคาน้ำมันของไทย แบ่งเป็นค่าต้นทุนในการซื้อน้ำมันจากโรงกลั่น หรือนำเข้าจากต่างประเทศ มีสัดส่วน 50-60% ค่าภาษีและกองทุนต่างๆ มีสัดส่วน 30-35% และค่าการตลาดจะอยู่ประมาณ 10%
มาถึงตรงนี้คงมีคำถามแล้วว่า... ในเมื่อโครงสร้างราคาน้ำมันก็ชัดเจน การขึ้น-ลงของน้ำมันก็น่าจะขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันโลกเป็นหลัก แล้วอะไร? เป็นเหตุให้ราคาน้ำมันไทยถึงแพงเท่ากัน ไม่ว่าราคาน้ำมันโลกจะ 70 หรือ 140 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันตลาดโลก ค่าการตลาด ภาษีสรรพสามิต และกองทุนน้ำมัน เป็นปัจจัยหลักของคำตอบ!
แน่นอนเรื่องราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก เราไม่สามารถกำหนดเองได้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่เรากำหนดเองอย่างภาษีทั้งหลาย และกองทุนน้ำมัน นั่นแหละที่ดูจะมีบทบาทที่ทำให้ราคาน้ำมันไทยแพงหูฉี่อยู่ขณะนี้
ทีนี้มาดูราคาน้ำมันวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา ราคาน้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 39.74 บาทต่อลิตร แต่จะพบว่าเงินที่เก็บเข้ารัฐในรูปแบบต่างๆ มีสัดส่วนมากถึง 45% (ดูตาราง 1 ประกอบ)
เป็นเงินภาษีสรรพสามิต 7 บาท ภาษีเทศบาล 0.70 บาท กองทุนน้ำมัน 7 บาท กองทุนอนุรักษ์ฯ 0.75 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือแวต คิดซ้อนกัน 2 ครั้ง เป็นเงิน 2.60 บาท รวมแล้วมากถึง 18.0499 บาท!!
ยิ่งน้ำมันเบนซิน 91 เงินเก็บเข้ารัฐพุ่งถึง 48% ส่วนน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 เก็บน้อยลงมาหน่อย เพราะเป็นพลังงานทดแทนที่รัฐสนับสนุนผ่านกองทุนน้ำมัน(เก็บน้อยลง หรือชดเชยแทนภาษีสรรพสามิต ส่งผลตัวเลขเงินจัดเก็บกองทุนน้ำมันบางรายการเป็น-) ทำให้สัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 36-37%
แต่ยังนับว่ามากกว่าสัดส่วน 30-35% ที่สนพ.ได้เเปิดเผยสัดส่วนค่าภาษีและกองทุนต่างๆ ที่มีสัดส่วน 30-35% เท่านั้น!!
อาจจะดูเป็นเรื่องไม่ผิดปกติ แต่เมื่อเทียบโครงสร้างราคาน้ำมันเบนซิน 95 ณ วันที่ 4 สิงหาคม 2551 อยู่ที่ 39.39 บาท (ดูตาราง 2 ประกอบ) ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันดิบอยู่ที่กว่า 110 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล (ดูต้นทุนราคาหน้าโรงกลั่นจะเห็นความแตกต่างชัดเจน) กลับพบความแตกต่างชัดเจน เพราะมีสัดส่วนเงินเก็บเข้ารัฐเพียง 27.50%
และไม่ต้องไปดูน้ำมันแก๊สโซฮอล์ทั้งหลาย เงินเก็บเข้ารัฐเพียงแค่ 2-3 บาทต่อลิตรเท่านั้น เนื่องจากได้รับการลดหย่อนภาษีสรรพสามิต จากมาตรการช่วยเหลือประชาชน “6 มาตรการ 6 เดือน ช่วยเหลือประชาชน” ของรัฐบาลอดีตนายกฯ “สมัคร สุนทรเวช” นับตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2551 – 31 มกราคม 2552 ภายหลังราคาน้ำมันปรับตัวพุ่งสูงถึงกว่า 40 บาทต่อลิตร เมื่อกลางปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้เกิดความเสียเปรียบ ให้ดูสัดส่วนเงินเก็บเข้ารัฐจากน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 เพราะไม่ได้อยู่ใน “6 มาตรการ 6 เดือน ช่วยเหลือประชาชน” และคงจะเห็นต้นตอราคาน้ำมันแพงได้อย่างชัดเจน
มาจากเงินที่รัฐจัดเก็บค่าภาษีและกองทุนน้ำมันจากผู้ค้าน้ำมันนั่นเอง!!
โดยจุดพลิกที่ทำให้น้ำมันในไทยปัจจุบันแพงผิดปกติ ย่อมมาจากการยกเลิกการลดหย่อนจัดเก็บภาษีสรรพสามิต จาก “6 มาตรการ 6 เดือน ช่วยเหลือประชาชน” ของรัฐบาลนายกฯ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 ที่ผ่านมา
และไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาลโอบามาร์คยังลักไก่ปรับภาษีสรรพสามิต น้ำมันเบนซินทุกประเภทชนเพดานสูงสุด 5 บาทต่อลิตร จากเดิมเรียกเก็บอยู่ที่ 3.685/4.685 บาทต่อลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลทุกประเภท เดิมจัดเก็บอยู่ที่ 2.1898/2.305 และ 2.405 บาทต่อลิตร ปรับขึ้นไปเป็น 2.190/3.305 และ4.00 บาทต่อลิตร ขณะที่ภาษีสรรพสามิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E10 ทุกประเภท และ E20 ปรับเพิ่มแบบปัดตัวเลขทศนิยม จาก 3.165 เป็น 3.317 บาทต่อลิตร
แต่นั่นยังไม่เท่าไหร่ หากเทียบกับการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันระลอก 2 ภายหลังรัฐบาลออกอาการถังแตก!
ด้วยการออกพระราชกำหนดขยายเพดานจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน โดยเพิ่มจาก 5 บาทต่อลิตร เป็น 10 บาทต่อลิตร ซึ่งกระทรวงการคลังได้ออกประกาศกระทรวง เพื่อให้มีผลบังคับใช้เกี่ยวกับอัตราการจัดเก็บภาษีน้ำมันเพิ่มขึ้นจากเดิม 2 บาทต่อลิตร หรือเป็น 7 บาทต่อลิตร (ยังไม่เต็มเพดาน) และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 14 พฤษภาคม 2552 เป็นต้นไป...
ทั้งที่เรื่องนี้หลายฝ่ายต่างออกมาแย้งไม่เห็นด้วย เพราะในสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเช่นนี้ รัฐควรจะช่วยประชาชนลดภาระค่าครองชีพ และลดต้นทุนทางธุรกิจ เพื่อร่วมกันกระตุ้นเศรษฐกิจชาติให้ยืนอยู่ได้
แน่นอนว่าราคาน้ำมันปัจจุบัน จึงล้วนจัดเก็บตามอัตราภาษีสรรพสามิตใหม่ แม้แต่น้ำมันแก๊สโซฮอล์ก็ไม่แตกต่าง โดยได้รับการอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเพียงแค่ไม่กี่สตางค์เท่านั้น ยกเว้นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี85
เหตุนี้จึงไม่แปลกที่สัดส่วนเงินเก็บเข้ารัฐ จะสูงถึง 36-48% ทั้งที่สนพ. เคยระบุว่าเงินค่าภาษีและกองทุนต่างๆ ที่รัฐเก็บจากผู้ค้าน้ำมันเพียงแค่ 30-35% ปัจจุบันมันจะพุ่งไปกว่า 36-48%
ฉะนั้นคำถามที่ว่า… ทำไม? ราคาน้ำมันไทยแพง ทั้งที่ราคาน้ำมันตลาดโลกต่ำกว่าเมื่อปีที่แล้ว คงจะได้คำตอบชัดเจนแล้ว… สาเหตุมาจากอะไร?! นอกจากการโยนให้บริษัทปตท., โรงกลั่น และราคาน้ำมันในตลาดโลก!!
ตาราง 1 : โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 3 สิงหาคม 2552
ชนิดน้ำมัน | ราคาหน้าโรงกลั่น | ภาษีสรรพสามิต | ภาษีเทศบาล | กองทุนน้ำมัน | กองทุนอนุรักษ์ฯ | ราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น | ภาษีมูลค่าเพิ่ม | ราคาขายส่งและภาษีฯ | ค่าการตลาด | ภาษีมูลค่าเพิ่ม | ราคาขายปลีก |
เบนซิน 95 | 17.1123 | 7 | 0.7 | 7 | 0.75 | 32.5623 | 2.2794 | 34.8417 | 4.5779 | 0.3205 | 39.74 |
แก๊สโซฮอล์ 95 E10 | 17.7236 | 6.3 | 0.63 | 2.27 | 0.25 | 27.1736 | 1.9022 | 29.0758 | 1.3684 | 0.0958 | 30.54 |
แก๊สโซฮอล์ 95 E20 | 18.2403 | 5.6 | 0.56 | -0.46 | 0.25 | 24.1903 | 1.6933 | 25.8836 | 2.2022 | 0.1542 | 28.24 |
แก๊สโซฮอล์ 95 E85 | 20.6633 | 1.05 | 0.105 | -7.13 | 0.25 | 14.9383 | 1.0457 | 15.984 | 5.5476 | 0.3883 | 21.92 |
เบนซิน 91 | 16.6914 | 7 | 0.7 | 5.7 | 0.75 | 30.8414 | 2.1589 | 33.003 | 1.0651 | 0.0746 | 34.14 |
แก๊สโซฮอล์ 91 E10 | 17.5384 | 6.3 | 0.63 | 1.67 | 0.25 | 26.3884 | 1.8472 | 28.2356 | 1.406 | 0.0984 | 29.74 |
ดีเซล | 16.622 | 5.31 | 0.531 | 1.7 | 0.75 | 24.913 | 1.7439 | 26.6569 | 1.3393 | 0.0938 | 28.09 |
ดีเซล B5 | 16.9201 | 5.04 | 0.504 | -0.23 | 0.25 | 22.4841 | 1.5739 | 24.058 | 1.1514 | 0.0806 | 25.29 |
หมายเหตุ : ที่มา - สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน
หน่วย = บาท/ลิตร
อัตราแลกเปลี่ยน = 34.1916 บาท/เหรียญสหรัฐ
ราคาเอทานอล = 21.29 บาท/ลิตร
ราคไบโอดีเซล (B100) = 26.36 บาท/ลิตร
อ้างอิงราคาขายปลีกน้ำมันของบริษัท ปตท.
อ้างอิงราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95ของปิโตรนาส
ตาราง 2 : โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 4 สิงหาคม 2551
ชนิดน้ำมัน | ราคาหน้าโรงกลั่น | ภาษีสรรพสามิต | ภาษีเทศบาล | กองทุนน้ำมันฯ | กองทุนอนุรักษ์ | ราคาขายส่งหน้่าโรงงาน | ภาษีมูลค่าเพิ่ม | ราคาขายส่งและภาษีฯ | ค่าการตลาด | ภาษีมูลค่้าเพิ่ม | ราคาขายปลีก |
เบนซิน 95 | 26.1653 | 3.685 | 0.3685 | 3.45 | 0.75 | 34.4188 | 2.4093 | 36.8281 | 2.3943 | 0.1676 | 39.39 |
แก๊สโซฮอล์ 95 E10 | 25.5403 | 0.0165 | 0.0017 | 0.25 | 0.25 | 26.0585 | 1.8241 | 27.8826 | 2.4363 | 0.1706 | 30.49 |
แก๊สโซฮอล์ 95 E20 | 24.8222 | 0.0165 | 0.0017 | -0.3 | 0.25 | 24.7903 | 1.7353 | 26.5256 | 2.4901 | 0.1743 | 29.19 |
เบนซิน 91 | 25.746 | 3.685 | 0.3685 | 3 | 0.75 | 33.5495 | 2.3485 | 35.898 | 1.9552 | 0.1369 | 37.99 |
แก๊สโซออล์ 91 E10 | 25.3535 | 0.0165 | 0.0017 | -0.25 | 0.25 | 25.3716 | 1.776 | 27.1477 | 2.376 | 0.1663 | 29.69 |
ดีเซล | 31.9354 | 0.005 | 0.0005 | 0.1 | 0.25 | 32.2909 | 2.2604 | 34.5512 | 2.6998 | 0.189 | 37.44 |
ดีเซล B5 | 32.1599 | 0.0898 | 0.009 | -1.3 | 0.25 | 31.2087 | 2.1846 | 33.3933 | 3.1278 | 0.2189 | 36.74 |
หมายเหตุ : ที่มา - สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน
หน่วย = บาท/ลิตร
อัตราแลกเปลี่ยน = 33.6592 บาท/เหรียญสหรัฐ
ราคาเอทานอล = 18.01 บาท/ลิตร
ราคไบโอดีเซล (B100) = 39.27 บาท/ลิตร
อ้างอิงราคาขายปลีกน้ำมันของบริษัท ปตท.
อ้างอิงราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน95 ของเชลล์