หลังสร้างความมั่นใจให้กับเซียนรถเก่า เจ้าพ่อรถแรง ด้วยการเปิดตัว“วี-เพาเวอร์ เบนซิน”น้ำมันเบนซินออกเทน 95 เกรดพรีเมี่ยมเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ถึงวันนี้ถือว่าเชลล์ ประสบความสำเร็จพอสมควรกับยอดขาย 9.8 ล้านลิตรต่อเดือน และคาดว่าถึงสิ้นปีจะเพิ่มไปถึงระดับ 12 ล้านลิตรต่อเดือน
ปัจจุบันเชลล์มีสถานีบริการทั่วประเทศกว่า 700 แห่ง มีประเภทน้ำมันตั้งแต่ ดีเซล,วี-เพาเวอร์ ดีเซล, เบนซิน 91,แก็สโซฮอล์ 91,95 และ“วี-เพาเวอร์ เบนซิน” ซึ่งประเภทหลังนี้มีให้บริการ 350 แห่ง ตามจังหวัดหรือเส้นทางหลักทั่วประเทศ...และเพื่อสร้างการรับรู้ถึงเทคโนโลยีและนวตกรรมของ “วี-เพาเวอร์ เบนซิน” ให้มากขึ้นบริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด จึงจัดงานเวิร์คช็อป เล็กๆ วานนี้(10 มิ.ย.) โดยดึงผู้จัดการด้านเทคโนโลยีน้ำมันเชื่อเพลิง ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกและตะวันออกกลาง “อีริค โฮลทูเซน” มาเป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์
สำหรับไทยเป็นหนึ่งใน 60 ประเทศทั่วโลก ที่มีน้ำมันวี-เพาเวอร์ เบนซินทำตลาด และกว่าจะเป็นน้ำมันเกรดพิเศษมาถึงมือเราๆท่านๆ เชลล์ได้ร่วมกับผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำอย่างเฟอร์รารี่ ค้นคว้าวิจัย จนได้สูตรดีที่สุดสำหรับรถแข่งฟอร์มูล่า วัน จากนั้นก็นำมาศึกษาต่อบนท้องถนนจริง เพื่อพัฒนาให้ประสิทธิภาพเหมาะสมกับการใช้งานของแต่ละประเทศ
“เราเข้าใจพฤติกรรมการใช้น้ำมันของผู้บริโภคแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นไปตามสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศ หรือแม้กระทั้งในประเทศเดียวกันลูกค้ายังมีความต้องการใช้ที่ต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทรถยนต์ อายุเก่า-ใหม่ และลักษณะการใช้งานเป็นตัวกำหนด”อีริค กล่าวและว่า
ในส่วนของ เชลล์ วี-เพาเวอร์ เบนซิน ผ่านการทดสอบบนถนนจริงในหลายประเทศทั่วโลก ตั้งแต่รัสเซียที่มีอากาศหนาวสุดขั้ว ไปจนถึงทะเลทรายอุณหภูมิสูงถึง 50 องศาเซลเซียสในออสเตรเลีย จนได้น้ำมันที่มีประสิทธิภาพเป็นที่น่าพอใจ ด้วยคุณสมบัติเด่นที่ช่วยทำความสะอาดเครื่องยนต์ ให้เครื่องยนต์เดินเรียบ และอัตราเร่งดีกว่าการเติมน้ำมันเบนซินทั่วไป
"ต้องยอมรับว่าตัวเนื้อน้ำมันนั้น มีความแตกต่างตามเทคโนโลยีของแต่ละยี่ห้อ ไล่ตั้งแต่การได้มาซึ่งน้ำมันดิบ ขั้นตอนการกลั่น การเลือกสารประกอบที่จะนำมาผสม และสุดท้ายการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด อย่าง เชลล์ วี-เพาเวอร์ เบนซิน ได้เพิ่มสารพิเศษช่วยทำความสะอาดเครื่องยนต์ โดยเฉพาะคราบตะกรัน(ยางเหนียว)ที่สะสมบริเวณวาล์วไอดี ขณะเดียวกันจะป้องกันไม่ให้เกิดคราบตะกรันที่หัวฉีด สำหรับเครื่องยนต์แบบไดเรกอินเจกชั่น"
ทั้งนี้คราบตะกรันที่จับตัวอยู่ที่วาล์วไอดี จะดูดซับน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ ทำให้เครื่องยนต์เดินไม่เรียบ เร่งเครื่องช้า และเพิ่มมลพิษ ซึ่งน้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 ทั่วไป จะมีสารเพียงแค่ Keep clean คือเมื่อเติมแล้วไม่เพิ่มไม่ลดคราบตะกรันดังกล่าว แต่ วี-เพาเวอร์ เบนซิน จะก้าวหน้าไปถึงขั้น Clean up คือชะล้างทำความสะอาดให้ด้วย ซึ่งคราบตะกรัน หลังถูกจัดการโดย วี-เพาเวอร์ เบนซิน เศษจะไม่หลุดมาเป็นแผ่นๆ หรือก้อนๆ แต่มันจะถูกชะล้างออกมาเป็นอณูเล็กๆ แล้วไปสลายในห้องเผาไหม้ในที่สุด
คุณสมบัติเด่นของ วี-เพาเวอร์ เบนซิน ยังไม่หมดแค่นี้ เพราะเชลล์ ยังพยายามลดพลังงานที่สูญเปล่าไปจากแรงเสียดทานในห้องเผาไหม้ ด้วยการเพิ่มสาร Friction Modification เข้าไปในน้ำมันเกรดพิเศษนี้อีกด้วย
“เราคิดว่าจะเอาพลังงานที่สูญเปล่าจากแรงเสียดทานกลับมาใช้ได้อย่างไร โดยเฉพาะในห้องเผาไหม้ที่น้ำมันล่อลื่นไม่สามารถเข้าถึงได้ (ถ้าเข้าไปแล้วก็ตัวใครตัวมัน) ดังนั้นจึงต้องให้น้ำมันเชื้อเพลิงมีคุณสมบัติในการล่อลื่น ซึ่ง Friction Modification ของวี-เพาเวอร์ เบนซิน มีคุณสมบัติในการเคลือบเสื้อสูบ ลดแรงเสียดทานนำกลับมาเป็นพลังงาน ส่งผลให้เครื่องยนต์เดินเต็มพลังยิ่งขึ้น”อีริค กล่าว
เมื่อถูกถามว่าเครื่องยนต์ที่มีคราบตะกรันติดตามวาล์วมาแล้ว จะใช้เวลาเท่าไหร่ในการชำระล้างเมื่อเปลี่ยนมาใช้ วี-เพาเวอร์ เบนซิน อีริค บอกว่า คงพูดไม่ได้ว่า เติมกี่ถังแล้วจะชำระล้างได้หมด เพราะต้องขึ้นอยู่กับสภาพเครื่องยนต์ของรถยนต์คันนั้นๆ ว่าสะสมมากี่มากน้อย แต่ที่สำคัญการเติมตั้งแต่ครั้งแรกลูกค้าจะรู้สึกได้ทันทีถึงความแตกต่าง
กับสโลแกน “ดีที่สุดสำหรับเฟอร์รารี่ ดีสำหรับคุณ” และด้วยคุณสมบัติที่กล่าวมา พอจะเชื่อได้ว่า เชลล์ วี-เพาเวอร์ เบนซิน เป็นอีกหนึ่งทางเลือกน้ำมันคุณภาพ แต่ด้วยราคาเกือบ 40 บาทต่อลิตร คงต้องหาโอกาสทดสอบถึงความคุ้มค่าทางตัวเงินที่เสียไปต่อระยะทาง (บาทต่อกิโลเมตร) เมื่อเทียบกับ เบนซิน 95 ยี่ห้ออื่น หรือพวกแก็สโซฮอล์ 95 แต่ถ้าคิดเรื่องคุณค่าทางจิตใจ ที่ได้เติมน้ำมันดีๆให้กับรถสุดรัก มันก็เป็นอีกเรื่อง
ที่สำคัญถ้าเติม “วี-เพาเวอร์ เบนซิน” คุณสามารถภูมิใจบนท้องถนนได้แน่นอน เพราะถือว่า คุณได้ช่วยจ่ายค่าเชื้อเพลิงบางส่วนให้เพื่อนร่วมทาง อย่างพวกรถใช้พลังงานทดแทนแล้ว!
ปัจจุบันเชลล์มีสถานีบริการทั่วประเทศกว่า 700 แห่ง มีประเภทน้ำมันตั้งแต่ ดีเซล,วี-เพาเวอร์ ดีเซล, เบนซิน 91,แก็สโซฮอล์ 91,95 และ“วี-เพาเวอร์ เบนซิน” ซึ่งประเภทหลังนี้มีให้บริการ 350 แห่ง ตามจังหวัดหรือเส้นทางหลักทั่วประเทศ...และเพื่อสร้างการรับรู้ถึงเทคโนโลยีและนวตกรรมของ “วี-เพาเวอร์ เบนซิน” ให้มากขึ้นบริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด จึงจัดงานเวิร์คช็อป เล็กๆ วานนี้(10 มิ.ย.) โดยดึงผู้จัดการด้านเทคโนโลยีน้ำมันเชื่อเพลิง ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกและตะวันออกกลาง “อีริค โฮลทูเซน” มาเป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์
สำหรับไทยเป็นหนึ่งใน 60 ประเทศทั่วโลก ที่มีน้ำมันวี-เพาเวอร์ เบนซินทำตลาด และกว่าจะเป็นน้ำมันเกรดพิเศษมาถึงมือเราๆท่านๆ เชลล์ได้ร่วมกับผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำอย่างเฟอร์รารี่ ค้นคว้าวิจัย จนได้สูตรดีที่สุดสำหรับรถแข่งฟอร์มูล่า วัน จากนั้นก็นำมาศึกษาต่อบนท้องถนนจริง เพื่อพัฒนาให้ประสิทธิภาพเหมาะสมกับการใช้งานของแต่ละประเทศ
“เราเข้าใจพฤติกรรมการใช้น้ำมันของผู้บริโภคแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นไปตามสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศ หรือแม้กระทั้งในประเทศเดียวกันลูกค้ายังมีความต้องการใช้ที่ต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทรถยนต์ อายุเก่า-ใหม่ และลักษณะการใช้งานเป็นตัวกำหนด”อีริค กล่าวและว่า
ในส่วนของ เชลล์ วี-เพาเวอร์ เบนซิน ผ่านการทดสอบบนถนนจริงในหลายประเทศทั่วโลก ตั้งแต่รัสเซียที่มีอากาศหนาวสุดขั้ว ไปจนถึงทะเลทรายอุณหภูมิสูงถึง 50 องศาเซลเซียสในออสเตรเลีย จนได้น้ำมันที่มีประสิทธิภาพเป็นที่น่าพอใจ ด้วยคุณสมบัติเด่นที่ช่วยทำความสะอาดเครื่องยนต์ ให้เครื่องยนต์เดินเรียบ และอัตราเร่งดีกว่าการเติมน้ำมันเบนซินทั่วไป
"ต้องยอมรับว่าตัวเนื้อน้ำมันนั้น มีความแตกต่างตามเทคโนโลยีของแต่ละยี่ห้อ ไล่ตั้งแต่การได้มาซึ่งน้ำมันดิบ ขั้นตอนการกลั่น การเลือกสารประกอบที่จะนำมาผสม และสุดท้ายการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด อย่าง เชลล์ วี-เพาเวอร์ เบนซิน ได้เพิ่มสารพิเศษช่วยทำความสะอาดเครื่องยนต์ โดยเฉพาะคราบตะกรัน(ยางเหนียว)ที่สะสมบริเวณวาล์วไอดี ขณะเดียวกันจะป้องกันไม่ให้เกิดคราบตะกรันที่หัวฉีด สำหรับเครื่องยนต์แบบไดเรกอินเจกชั่น"
ทั้งนี้คราบตะกรันที่จับตัวอยู่ที่วาล์วไอดี จะดูดซับน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ ทำให้เครื่องยนต์เดินไม่เรียบ เร่งเครื่องช้า และเพิ่มมลพิษ ซึ่งน้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 ทั่วไป จะมีสารเพียงแค่ Keep clean คือเมื่อเติมแล้วไม่เพิ่มไม่ลดคราบตะกรันดังกล่าว แต่ วี-เพาเวอร์ เบนซิน จะก้าวหน้าไปถึงขั้น Clean up คือชะล้างทำความสะอาดให้ด้วย ซึ่งคราบตะกรัน หลังถูกจัดการโดย วี-เพาเวอร์ เบนซิน เศษจะไม่หลุดมาเป็นแผ่นๆ หรือก้อนๆ แต่มันจะถูกชะล้างออกมาเป็นอณูเล็กๆ แล้วไปสลายในห้องเผาไหม้ในที่สุด
คุณสมบัติเด่นของ วี-เพาเวอร์ เบนซิน ยังไม่หมดแค่นี้ เพราะเชลล์ ยังพยายามลดพลังงานที่สูญเปล่าไปจากแรงเสียดทานในห้องเผาไหม้ ด้วยการเพิ่มสาร Friction Modification เข้าไปในน้ำมันเกรดพิเศษนี้อีกด้วย
“เราคิดว่าจะเอาพลังงานที่สูญเปล่าจากแรงเสียดทานกลับมาใช้ได้อย่างไร โดยเฉพาะในห้องเผาไหม้ที่น้ำมันล่อลื่นไม่สามารถเข้าถึงได้ (ถ้าเข้าไปแล้วก็ตัวใครตัวมัน) ดังนั้นจึงต้องให้น้ำมันเชื้อเพลิงมีคุณสมบัติในการล่อลื่น ซึ่ง Friction Modification ของวี-เพาเวอร์ เบนซิน มีคุณสมบัติในการเคลือบเสื้อสูบ ลดแรงเสียดทานนำกลับมาเป็นพลังงาน ส่งผลให้เครื่องยนต์เดินเต็มพลังยิ่งขึ้น”อีริค กล่าว
เมื่อถูกถามว่าเครื่องยนต์ที่มีคราบตะกรันติดตามวาล์วมาแล้ว จะใช้เวลาเท่าไหร่ในการชำระล้างเมื่อเปลี่ยนมาใช้ วี-เพาเวอร์ เบนซิน อีริค บอกว่า คงพูดไม่ได้ว่า เติมกี่ถังแล้วจะชำระล้างได้หมด เพราะต้องขึ้นอยู่กับสภาพเครื่องยนต์ของรถยนต์คันนั้นๆ ว่าสะสมมากี่มากน้อย แต่ที่สำคัญการเติมตั้งแต่ครั้งแรกลูกค้าจะรู้สึกได้ทันทีถึงความแตกต่าง
กับสโลแกน “ดีที่สุดสำหรับเฟอร์รารี่ ดีสำหรับคุณ” และด้วยคุณสมบัติที่กล่าวมา พอจะเชื่อได้ว่า เชลล์ วี-เพาเวอร์ เบนซิน เป็นอีกหนึ่งทางเลือกน้ำมันคุณภาพ แต่ด้วยราคาเกือบ 40 บาทต่อลิตร คงต้องหาโอกาสทดสอบถึงความคุ้มค่าทางตัวเงินที่เสียไปต่อระยะทาง (บาทต่อกิโลเมตร) เมื่อเทียบกับ เบนซิน 95 ยี่ห้ออื่น หรือพวกแก็สโซฮอล์ 95 แต่ถ้าคิดเรื่องคุณค่าทางจิตใจ ที่ได้เติมน้ำมันดีๆให้กับรถสุดรัก มันก็เป็นอีกเรื่อง
ที่สำคัญถ้าเติม “วี-เพาเวอร์ เบนซิน” คุณสามารถภูมิใจบนท้องถนนได้แน่นอน เพราะถือว่า คุณได้ช่วยจ่ายค่าเชื้อเพลิงบางส่วนให้เพื่อนร่วมทาง อย่างพวกรถใช้พลังงานทดแทนแล้ว!
