xs
xsm
sm
md
lg

Mercedes-Benz S-Class : เพิ่มความสดให้พี่ใหญ่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ดูเหมือนว่าช่วงปีนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ จะมีอะไรใหม่ๆ ออกมากระตุ้นตลาดและดึงเงินในบัญชีของลูกค้าในเกือบทุกระดับตลาด เพราะต่อจากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นสำคัญอย่างสายพันธุ์อี-คลาส คราวนี้ก็มาถึงการปลุกตลาดหรูให้กับพี่ใหญ่ของแบรนด์อย่างเอส-คลาสด้วยการปรับโฉมเพิ่มความสดใหม่รอบคัน รวมถึงการเสริมทัพด้วยทางเลือกของระบบขับเคลื่อนใหม่ๆ


ถือเป็นการปรับโฉมหรือไมเนอร์เชนจ์ที่ต้องใช้เวลาในการรอคอยนานเอาเรื่อง เพราะเอส-คลาสรุ่นปัจจุบันซึ่งมีรหัสตัวถัง W221 ทำตลาดมาตั้งแต่ปี 2005 และครั้นค่ายดาว 3 แฉกจะยังทำนิ่งต่อไปก็อาจจะเหนื่อย เพราะคู่ปรับสำคัญอย่างบีเอ็มดับเบิลยูก็มีของสดใหม่กว่าออกมาเจาะตลาดแข่ง กับโมเดลเชนจ์ของซีรีส์ 7 ที่เพิ่งเปิดตัวสดๆ ร้อนๆ เมื่อปีที่แล้ว

เปรียบเทียบกับรุ่นดั้งเดิมซึ่งกวาดยอดขายกว่า 270,000 คันนับจากเริ่มทำตลาดเมื่อ 4 ปีที่แล้วจะพบกับความเปลี่ยนแปลงของหน้าตาพอสมควร ทั้งกระจังหน้าลายใหม่เปลี่ยนจากแบบ 4 ซี่มาเป็นแบบ 3 ซี่แบบคู่ พร้อมไฟหน้าลายใหม่ที่แถบ LED วางตัวอยู่ทางด้านล่างของกรอบไฟเพื่อทำหน้าที่เป็น Day Light เช่นเดียวกับ สปอตไลต์ก็เปลี่ยนเป็นใช้หลอดแบบ LED วางตัวเป็นแถบยาว ขณะที่กันชนหน้าและหลังได้รับการออกแบบใหม่เพิ่มความสปอร์ตมากขึ้น ส่วนไฟท้ายออกแบบใหม่จากเดิมมีแถบพลาสติกทึบคั่นกลาง และถูกแทนที่ด้วยแถวของไฟส่องสว่างแบบ LED ที่ช่วยทำให้ดูมีความโดเด่นและสะดุดตามากขึ้น

ส่วนของเครื่องยนต์ ประเด็นหลักของการเปลี่ยนแปลงอยู่ที่การเพิ่มทางเลือกใหม่เพื่อรองรับกับตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาด้วยเวอร์ชันไฮบริดชื่อ S400Hybrid ซึ่งเป็นรถยนต์ในไลน์ผลิตรุ่นแรกของโลกที่นำแบตเตอริ่แบบลิเธียม-ไออนมาใช้กับรถยนต์ไฮบริด ซึ่งตามปกติแล้วจะเป็นแบบนิเกิลเมทัลไฮดราย
S400 Hybrid ยึดพื้นฐานของระบบขับเครื่องมาจากรุ่น S350

โดยหน้าที่หลักในการขับเคลื่อนมาจากเครื่องยนต์เบนซินวี6 3,500 ซีซี 279 แรงม้าจับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 20 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 16.3 กก.-ม. ในการพาตัวถังขนาด 4 ประตูพุ่งทะยานไปข้างหน้าและส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ 7 จังหวะรุ่น 7G-Tronic
การทำงานของระบบไฮบริดก็ไม่แตกต่างจากรถยนต์ประเภทนี้ของค่ายอื่นๆ เท่าไร


โดยมอเตอร์ไฟฟ้าจะทำหน้าที่ช่วยในการขับเคลื่อนเมื่อต้องการกำลัง เช่น ออกตัว หรือเร่งแซง และจะเปลี่ยนหน้าที่มาเป็นตัวชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้ามาเก็บในแบตเตอรี่เมื่อมีการเบรกหรือลดความเร็ว และเมื่อรถจอดติดอยู่กับที่ก็จะมีการดับเครื่องยนต์เพื่อความประหยัดน้ำมัน

ส่วนรูปแบบโดยรวมของระบบไฮบริดเองมีความกะทัดรัดและไม่กินพื้นที่มาก ก็เลยทำให้ S400 Hybrid มีพื้นที่ใช้สอยเทียบเท่ากับเพื่อนร่วมสานพันธุ์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบปกติ โดยที่ความประหยัดน้ำมันอยู่ในระดับ 12.65 กิโลเมตรต่อลิตรสำหรับการขับในรูปแบบผสม

ทางเลือกอื่นๆ ก็ยังมีทำตลาดหลากหลายเหมือนเดิม ในรุ่นเบนซินเริ่มกับ S350 เครื่องยนต์วี6 3,500 ซีซี ตามด้วย S450 เครื่องยนต์วี8 4,700 ซีซี 345 แรงม้า, S500 วี8 5,500 ซีซี 382 แรงม้า และ S600 วี12 5,500 ซีซี ไบเทอร์โบ 517 แรงม้า ซึ่งมีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 4.6 วินาที

ขาดไม่ได้กับตัวแรงแบบสปอร์ตซึ่งมี 2 ทางเลือกเหมือนเดิม คือ S63AMG ที่วางเครื่องยนต์วี8 6,200 ซีซี 525 แรงม้า และ S65AMG จับคู่กับเครื่องยนต์วี12 6,000 ซีซี 612 แรงม้า
ขุมพลังเทอร์โบดีเซลรหัส CDI มีขาย 2 รุ่น คือ S350CDI BlueEffiency บล็อกวี6 3,000 ซีซี 235 แรงม้า ซึ่งมีความประหยัดน้ำมันขึ้นด้วยค่าเฉลี่ย 13.33 กิโลเมตรต่อลิตร และรุ่น S450CDI ใช้เครื่องยนต์วี8 4,000 ซีซี 320 แรงม้า ส่วนระบบขับเคลื่อนมีให้เลือกทั้งแบบล้อหลังและแบบ 4 ล้อที่เรียกว่า 4MATIC ซึ่งมีขายเฉพาะรุ่น S350, S450, S500 และ S350CDI

นอกจากนั้นส่วนของเทคโนโลยีใหม่ที่ติดตั้งเพิ่มเติมยังมีให้สัมผัสกับระบบ ATTENTION ASSIST ซึ่งจะมีเซ็นเซอร์และการอาศัยข้อมูลจากมุมของพวงมาลัยเพื่อช่วยตรวจสภาพของคนขับว่าอยู่ระดับที่เหมาะสมหรือไม่ โดยเฉพาะมีอาการเริ่มง่วงหรือหลับในให้เห็น ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อการขับขี่ ขณะที่สัญญาณเรดาร์ด้านหน้ารถสำหรับใช้กับระบบอย่าง DISTRONIC PLUS หรือ Brake Assist PLUS ก็มีการเพิ่มประสิทธิภาพโดยเฉพาะเรื่องของระยะทำการมากขึ้นจากรุ่นเดิม

การทำตลาดเริ่มขึ้นแล้วที่ยุโรป และมีราคาในเยอรมนีอยู่ระหว่าง 73,000-155,354 ยูโร หรือ 3.3-6.99 ล้านบาท ส่วนรุ่นใหม่อย่าง S400 Hybrid มีราคาอยู่ที่ 85,323 ยูโร หรือ 3.83 ล้านบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น