รถยนต์ระดับหรูที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมายาวนานตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 และนับจากอดีตจนถึงปัจจุบันมีการทำตลาดมาแล้ว 4 เจนเนอเรชัน โดยที่รุ่นใหม่ล่าสุดซึ่งใช้รหัสตัวถังว่า F01 เป็นเจนเนอเรชันที่ 5 ของซีรีส์ 7
รุ่นแรกเปิดตัวในปี 1977 ใช้รหัสตัวถังว่า E23 และถือเป็นการเปิดตลาดให้คนทั่วโลกได้สัมผัสกับความหรูอย่างแท้จริงของยานยนต์จากค่ายใบพัดสีฟ้า โดยซีรีส์ 7 รุ่นแรกทำตลาดนานถึง 10 ปี ซึ่งบีเอ็มดับเบิลยูถอดออกจากไลน์ผลิตในปี 1986 และแทนที่ด้วยเจนเนอเรชันที่ 2 ในปี 1986 ใช้รหัส E32 พร้อมกับการพลิกโฉมของรูปลักษณ์ภายนอกที่ช่วยทำให้ซีรีส์ 7 มีความหรูและภูมิฐานมากขึ้น โดยทุกรุ่นเครื่องยนต์มีรหัส L หรือรุ่นฐานล้อยาว ซึ่งมีพื้นที่วางขาของผู้โดยสารเบาะหลังเพิ่มขึ้นจากรุ่นมาตรฐานอีก 100 มิลลิเมตรทำตลาดควบคู่กันด้วย
รุ่นนี้นอกจากเครื่องยนต์ 6 สูบทั้งแบบ 3000 และ 3500 ซีซีแล้ว ยังมีทางเลือกของความแรงแบบสุดๆ กับขุมพลังวี12 ซึ่งมีกำลังสูงสุด 299 แรงม้า ในรุ่น 750i อีกด้วย จากนั้นในปี 1992 จึงมีทางเลือกในระดับรองลงมากับเครื่องยนต์วี8 ทั้ง 3000 และ 4000 ซีซีตามออกมา โดยซีรีส์ 7 รุ่นที่ 2 ทำตลาดจนถึงปี 1994 จึงมีการเปลี่ยนโฉมอีกครั้ง
เจนเนอเรชันที่ 3 ถูกเปิดตัวออกมาปี 1994 และใช้รหัสตัวถัง E38 โดยนอกจากรุ่นธรรมดาแล้ว บีเอ็มดับเบิลยูยังเปิดตัวทางเลือกใหม่ของการขับเคลื่อนด้วยการผลิตเวอร์ชัน Hydrogen 7 ที่ส่งไฮโดรเจนให้กับเครื่องยนต์เบนซินวี12 ใช้เป็นเชื้อเพลิง และมีการผลิตออกทดสอบโดยนำไปแล่นที่สนามบินมิวนิก แต่ก็ไม่ได้มีการผลิตขายออกมา
เมื่อล่วงเข้าถึงปี 2001 บีเอ็มดับเบิลยูจัดการกระตุ้นตลาดให้กับซีรีส์ 7 อีกครั้งด้วยรุ่นปรับโฉมที่คราวนี้มาพร้อมกับการพลิกโฉมแบบสุดๆ โดยความเปลี่ยนแปลงมีคริส แบงเกิลเป็นผู้ที่นั่งอยู่เบื้องหลังในฐานะหัวหน้าฝ่ายออกแบบ
ซีรีส์ 7 รุ่นนี้ใช้รหัสตัวถัง E65-E68 โดย E65 เป็นรุ่นฐานล้อปกติ 2,990 มิลลิเมตร ตามด้วย E66 รุ่นฐานล้อยาว E67 รุ่นนิรภัยหรือ High Security และ E68 สำหรับรุ่นไฮโดรเจน หรือ Hydrogen 7 ที่มีการผลิตขายเป็นครั้งแรกในตัวถังนี้
นอกจากจะเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่ได้รับการออกแบบรูปลักษณ์ที่สุดโฉบเฉี่ยวจนกลายเป็นเอกลักษณ์ยุคใหม่ของรถยนต์จากบีเอ็มดับเบิลยูแล้ว ซีรีส์ 7 เจนเนอเรชันที่ 4 ยังเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่ติดตั้งระบบ iDrive ภายในห้องโดยสาร จนทำให้ระบบนี้กลายเป็นมาตรฐานของการติดตั้งและจัดวางอุปกรณ์ที่ใช้กับรถยนต์รุ่นต่างๆ ของบีเอ็มดับเบิลยูในเวลาต่อมา
ตั้งแต่เปิดตัวมาซีรีส์ 7 มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยรุ่นแรกขายได้ 2.85 แสนคัน รุ่นที่ 2 ขาย 3.1 แสนคัน หรือเพิ่มขึ้น 9 % รุ่นที่ 3 ขายได้ 3.27 แสนคัน เพิ่มขึ้น 5 % และรุ่นที่ 4 ขายไปแล้วทั้งสิ้น 3.44 แสนคัน เพิ่มขึ้น 5 % ตลาดที่ใหญ่ที่สุด-ขายดีสุดคือ สหรัฐอเมริกาโดยมีสัดส่วนการขาย 35.7 % อันดับ 2 คือจีน 16.4 % ขณะที่บ้านเกิดเยอรมนีอยู่ที่ 13 % อันดับ 4 ตะวันออกกลาง 6.4 % ญี่ปุ่น 4.9 % อังกฤษรวมกับไอแลนด์ 3.9 % เกาหลี 2.8 % อิตาลี 1.8 % รัสเซีย 1.4 % ฝรั่งเศสและสเปนเท่ากัน 1.3 %