xs
xsm
sm
md
lg

กันลืม! ศาลอุทธรณ์เผาจริง “สมัคร สุนทรเวช” พรุ่งนี้

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

วันนี้...แม้ “นายสมัคร สุนทรเวช” เขาคืออดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกพรรคร่วมรัฐบาล “ตัดหางปล่อยวัด” จากเหตุศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง กรณีการจัดรายการ “ชิมไปบ่นไป” และรายการ “ยกโขยงหกโมงเช้า”

โดยความผิดของนายสมัคร ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ชัดว่า “พยานหลักฐานทั้งหมดมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องทำหน้าที่พิธีกรในรายการ “ชิมไปบ่นไป” หลังจากเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว โดยผู้ถูกร้องยังคงได้รับค่าตอบแทนที่มีลักษณะเป็นทรัพย์สินจากบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด ดังนั้น การที่ผู้ถูกร้องเป็นพิธีกรให้แก่บริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด จึงเป็นการรับจ้างการทำงานตามความหมายของคำว่า “ลูกจ้าง” ตามนัยแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 แล้ว กรณีถือได้ว่าผู้ถูกร้องเป็นลูกจ้างของบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด เป็นการกระทำอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องจึงสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7)

อาศัยเหตุผลข้างต้น ศาลรัฐธรรมนูญโดยมติเอกฉันท์ จึงวินิจฉัยว่าผู้ถูกร้องกระทำการอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 มีผลให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านายกรัฐมนตรีผู้ถูกร้องกระทำการอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 267 เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว

เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 182 จึงเป็นเหตุให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 180 วรรคหนึ่ง (1) แต่ด้วยความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีเป็นการสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ทำให้รัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีที่เหลือ จึงอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 181”

ส่วนวันพรุ่งนี้...25 กันยายน 2551...คืออีกวันหนึ่ง ที่ชายสูงวัยชื่อ “สมัคร สุนทรเวช” จะต้องลุ้นระทึกอีกครั้งว่าเขาจะต้องไปชดใช้กรรมในคุก หรือไม่

หมายนัดศาล...วันที่ 25 กันยายน 2551 เวลา 09.00 น.ศาลอาญากรุงเทพใต้ นัดอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ในคดีที่นายสมัคร ตกเป็นจำเลยร่วมกับ นายดุสิต ศิริวรรณ ฐานหมิ่นประมาท นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม.ผ่านรายการสมัคร-ดุสิต คิดตามวันทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อสมท

โดยคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ให้จำคุกในคดีหมิ่นประมาท นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ ที่ไปกล่าวหาเขาว่ารับสินบน “บีเอ็มฯ ซีรีส์ 7” - แบ่งเค้ก 3 พันล้าน ประมูลงานเมกะโปรเจกต์ ถือว่าไม่ธรรมดา ประกอบกับผู้สันทัดกรณีงานยุติธรรม ต่างฟันธงเป็นเสียงเดียวกันว่า มีความเป็นไปได้สูงว่า นายสมัคร รอดยาก!!

ย้อนดูคำพิพากษา ฉบับย่อ....ว่าศาลชั้นต้นท่านตัดสินไว้อย่างไร...

เริ่มจากฟ้องโจทก์ระบุความผิดจำเลยสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 12-19 ม.ค.49 จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ดำเนินรายการ “เช้าวันนี้ที่ช่อง 5” และรายการ “สมัคร-ดุสิต คิดตามวัน” ทางช่องโมเดิร์นไนน์ทีวี โดยวันที่ 12 ม.ค.49 จำเลยทั้งสองได้กล่าวถ้อยคำกล่าวหาว่า “มีผู้บริหารกรุงเทพมหานครบางคนออกรถบีเอ็มฯ ซีรีส์ โดยใช้ชื่อภรรยาเป็นเจ้าของ ที่แท้มีผู้รับเหมาซื้อให้ ผ่านทั้งสองรายการในวันเดียวกัน ต่อมาวันที่ 13 ม.ค. 50 นายดุสิต จำเลยที่ 2 ได้กล่าวผ่านรายการ “สมัคร-ดุสิต คิดตามวัน” ว่า โครงการประมูลของกรุงเทพมหานคร 10 โครงการมันกินกัน 12-13% เกือบ 3,000 ล้านบาท โดยมีจำเลยที่ 1 กล่าวสนับสนุน นอกจากนี้ในวันที่ 17 ม.ค.49 จำเลยที่ 2 ได้กล่าวผ่านรายการเช้าวันนี้ที่ช่อง 5 ว่า

“ขออ่านจากข่าวนะ นายสามารถชี้แจงว่า ไม่เคยสั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาล็อกสเปก ขอถามคุณสมัครหน่อยว่า ใครจะกล้ารับว่าตัวเองเป็นคนสั่ง” และข้อความอื่นๆ ซึ่งล้วนเป็นเท็จทั้งสิ้น เหตุเกิดที่แขวงและเขตห้วยขวาง และที่อื่นเกี่ยวพันกัน การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้ประชาชนที่ชมรายการดังกล่าวเข้าใจผิดคิดว่าโจทก์เป็นคนไม่ดี เรียกรับทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงนำคดีมาฟ้องขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิดด้วย

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธทำนองเดียวกันว่า ไม่มีเจตนาหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย เพียงแต่กล่าวไปตามข้อเท็จจริงที่ทราบข้อมูลมา แต่ไม่ได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมทั้งการดำเนินรายการก็เป็นการระดมความคิดเห็นร่วมกับประชาชนให้ได้รับทราบ

“ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้วเห็นว่า ถ้อยคำที่บ่งบอกว่าผู้บริหารระดับสูงของกรุงเทพมหานครมีพฤติกรรมไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นความผิดทางอาญา โดยมีจำเลยที่ 1 กล่าวสนับสนุนว่าเป็นความจริง เมื่อฟังประกอบกันแล้วทำให้เห็นได้ชัดว่า เป็นผู้บริหารกรุงเทพมหานคร คือ โจทก์นั่นเอง เพราะขณะนั้นภรรยาโจทก์ขับรถยนต์ยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยู ป้ายแดงได้ 2 เดือน ทั้งยังมีการกล่าวย้ำว่ามีการใช้ตำแหน่งแสวงหาผลประโยชน์แม้ไม่ได้ระบุชื่อก็ตาม ทั้งที่ความจริงแล้วโจทก์มีหน้าที่รับผิดชอบงานด้านโยธา ดูแลเรื่องการก่อสร้างถนน สะพานข้ามแยก อุโมงค์ทางลอดต่างๆ นอกจากนี้ โจทก์ยังมี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เบิกความเกี่ยวกับการตรวจสอบการทุจริตของโจทก์นั้น ชุดสืบสวนไม่ได้ตรวจสอบเรื่องการซื้อรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูคันดังกล่าว เพราะเป็นทรัพย์สินที่โจทก์ซื้อด้วยเงินตัวเองโดยมีการนำสำเนาบัญชีของธนาคารกรุงเทพฯ สำเนาเช็คเงินสด มาแสดงเป็นหลักฐานการชำระเงิน

การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการเสนอข่าวให้ประชาชนเชื่อว่า การก่อสร้างของกรุงเทพมหานครมีเงื่อนงำ ทุจริต ซึ่งเป็นการหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย ถูกดูหมิ่นเกลียดชังจริง ข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น

ทั้งนี้ จำเลยที่ 1 ได้เคยกระทำผิดฐานหมิ่นประมาทมาแล้วหลายครั้ง โดยศาลปรานีให้รอการลงโทษไว้เพื่อให้ปรับตัวเป็นคนดี แต่จำเลยที่ 1 กลับกระทำผิดซ้ำในความผิดเดิมอีก พิพากษาให้จำคุกจำเลยทั้งสองรวม 4 กระทง ๆ ละ 6 เดือน รวมจำคุกคนละ 24 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และให้โฆษณาคำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์ติดต่อกันเป็นเวลา 3 วัน โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย

คดีนี้เมื่อวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา นายสมัครได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนอ่านคำพิพากษา โดยอ้างว่าต้องเดินทางไปประชุมสหประชาชาติที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในวันที่ 21 กันยายน ในฐานะนายกรัฐมนตรี แต่เมื่อนายสมัครต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ไปแล้ว ดังนั้น วันพรุ่งนี้นายสมัครต้องขึ้นศาลเพื่อฟังคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ ในเวลา 09.00 น.

สำหรับประเด็นที่มีการพูดถึงมาก และถือว่าน่าสนใจ หากผลแห่งคดีเป็นลบกับนายสมัคร ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุก 24 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ทำให้โอกาสที่นายสมัครจะต้องถูกจำคุกมีสูง

แม้นายสมัครจะยืนยันว่า สามารถอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาโดยให้อัยการสูงสุดลงนามรับรองให้อุทธรณ์คดีต่อศาลฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ (ป.วิอาญา มาตรา 221 บัญญัติว่า ในคดีซึ่งห้ามฎีกาไว้....อธิบดีกรมอัยการ (อสส.) ลงลายมือชื่อรับรองในฎีกาว่า มีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัย ก็ให้รับฎีกานั้นไว้พิจารณาต่อไป)

อย่างไรก็ตาม คดีนี้เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัวที่นายสามารถ ฟ้อง นายสมัคร โดยตรง พนักงานอัยการมิได้เกี่ยวข้อง ถ้านายชัยเกษม นิติศิริ อัยการสูงสุด ยอมลงนามรับรองให้ จะทำให้เกิดข้อครหาว่า อัยการสูงสุดต้องการช่วยเหลือนายสมัคร เป็นการส่วนตัวหรือไม่

นอกจากนั้น ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ออกระเบียบที่ประชุมใหญ่ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2551 ว่า ให้ศาลฎีกาอาจไม่รับคดีที่อุทธรณ์ต่อศาลฎีกาได้ ถ้าเห็นว่า การอุทธร์ดังกล่าวไม่เป็นสาระอันควรแก่แก่การพิจารณาไว้ในการพิจารณาพิพากษา (ระเบียบที่ประชุมใหญ่ว่าด้วยการไม่รับคดีซึ่งข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงที่อุทธรณ์หรือฎีกาจะไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณาไว้พิจารณาพิพากษา พ.ศ.2551)

ดังนั้น ถ้าดูจากคดีหมิ่นประมาทของนายสมัครและนายดุสิตแล้วเห็นว่า ไม่มีความยุ่งยากซับซ้อนทั้งในเรื่องข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแต่อย่างใด รวมทั้งคำพิพากษามีเหตุ มีผลชัดเจน

การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนถึง 2 ศาล อาจเข้าเงื่อนไขที่ศาลฎีกาอาจไม่รับคดีไว้พิจารณาได้ ดังนั้น ถ้าศาลฎีกาไม่รับอุทธรณ์ ก็หมายความว่า นายสมัคร ต้องถูกจำคุกทันที และต้องหลุดจากตำแหน่ง ส.ส.ทันทีเช่นกัน

นับเป็นกรรมของชายชราที่ชอบสาบถสาบานจนติดเป็นนิสัย และอาจเห็นผลของคำสาบานด้วยการชดใช้กรรมใน “คุก” ช่วงปั้นปลายของชีวิต...
นายสมัคร สุนทรเวช
นายดุสิต ศิริวรรณ
นายสามารถ ราชพลสิทธิ์
กำลังโหลดความคิดเห็น