xs
xsm
sm
md
lg

“หมัก” โทษฐานไม่สำนึก! อุทธรณ์ยืนจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

อุทธรณ์ ยืน พิพากษาคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา สองคู่หูดูโอ้ “ สมัคร – ดุสิต ” หมิ่น อดีตรองผู้ว่า ฯ กทม. กล่าวหารับเงินผู้รับเหมาถอย BMW ซีรีส์ 7 ป้ายแดง ศาลชี้ไม่สำนึกทำผิดซ้ำซาก อุทธรณ์อ้างคุณงามความดี ฟังไม่ขึ้น ยื่นคนละ 2 แสนประกันตัวก่อนหลบสื่ออกหลังศาล “ สามารถ” ยันไม่ประนอมคดีฟ้องแพ่ง 100 ล้าน ระบุ เวรกรรมมีจริง ยกเป็นบทเรียนพวกชอบใส่ร้าย


วันนี้(25 ก.ย.)เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 301 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง 63 วันที่ 25 ก.ย.51 เวลา 09.00 น. ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำที่ 4026/2550 ที่นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และนายดุสิต ศิริวรรณ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สองผู้ดำเนินรายการ “ สมัคร-ดุสิต คิดตามวัน” ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวี และรายการ “ เช้าวันนี้ที่ช่อง 5 ” สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง5 เมื่อปี 2549 เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 , 328 , 332 , 83 และ 91 สืบเนื่องจากกรณีระหว่างวันที่ 12 – 19 ม.ค. 49 ได้มีการกล่าวว่าผู้บริหาร กทม. ได้รับเงินจากผู้รับเหมาโครงการประมูลก่อสร้างสะพานและอุโมงค์ของกรุงเทพมหานคร 10 โครงการซึ่งนำมาซื้อรถ BMW ซีรีส์ 7 สีบรอนเงิน

คดีนี้ ศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 12 เม.ย. 50 เห็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามาตรา 328 ประกอบ 83 ให้จำคุกจำเลยทั้งสอง 4 กระทง ๆ ละ 6 เดือน รวมจำคุกคนละ 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา และให้โฆษณาคำพิพากษาโดยย่อในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และมติชน ฉบับวันละ 3 วันต่อมาจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ

ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัย ตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองว่าร่วมกันกระทำผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า นอกจากโจทก์เป็นพยานเบิกความว่าข้อความที่จำเลยทั้งสองกล่าวทางช่อง 5 และ ช่อง 9 ว่ามีข้าราชการทางการเมือง ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหาร กทม.บางคน เมียไปซื้อรถ BMW ซีรีส์ 7 สีบรอนเงิน ด้วยเงินสดติดป้ายทะเบียนแดงอยู่นาน 2 เดือน ไม่ใส่ชื่อสามีแต่ใส่ชื่อภรรยา เป็นการที่จำเลยทั้งสอง จงใจใส่ความโจทก์ เพราะขณะนั้นโจทก์เป็นรองผู้ว่า กทม.และได้รับมอบหมายให้ดูแล โครงการก่อสร้างของ กทม.ทั้ง 10 โครงการแต่เพียงผู้เดียวโดยโจทก์และนางอุบลวรรณ ภรรยา ร่วมกันซื้อรถยนต์ดังกล่าวเมื่อวันที่ 14 ก.ค.48 ก่อนที่จะมีการประมูลทั้ง 10 โครงการและมีการวางมัดจำโดยใช้เครดิตการ์ดซึ่งโจทก์และภรรยาได้นำเงินจากการขายหน่วยลงทุนบางส่วนในกองทุนเปิดทหารไทยธนบดี จำนวน 5,225,000 บาท ที่โจทก์และภรรยาร่วมกันลงทุนตั้งแต่ปี 44 นอกจากนี้โจทก์ยังมีนายวิรัช ตรีกิตติคุณ พยานอีกปากเบิกความสนับสนุนว่าติดตามรับชมรายการที่จำเลยทั้งสองร่วมกันจัดเมื่อกลางเดือน ม.ค.49 เนื่องจากได้มีการนำเรื่องการประมูลก่อสร้าง ถนน อุโมงค์ และทางแยกของ กทม. 10 โครงการมาสนทนา และกล่าวพาดพิงถึงโจทก์โดยจับใจความได้ว่าจำเลยทั้งสองจงใจกล่าวหาโจทก์ว่าดำเนินการไม่โปร่งใสและมีการทุจริตทั้ง 10 โครงการซึ่งพยานให้ภรรยาโทรศัพท์แจ้งให้ภรรยาของโจทก์รับชมรายการด้วย โดยเมื่อศาลอุทธรณ์ได้เปิดดูแผ่นซีดีประกอบกับถ้อยคำที่จำเลยทั้งสองร่วมสนทนาในรายการเช้าวันนี้ที่เมืองไทยเมื่อวันที่ 12 ม.ค.49 แล้วเห็นว่าถ้อยคำของจำเลยบ่งบอกให้เห็นว่าผู้บริการ กทม.มีพฤติการณ์เรียกหรือรับผลประโยชน์ที่ไม่ควรได้เพื่อประโยชน์ตัวเองหรือบุคคลในครอบครัวโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้จำเลยที่ 1 จะไม่ได้ระบุให้ชัดเจนว่าผู้ที่ได้รับเงินจากผู้รับเหมาเป็นใครแต่เมื่อพิจารณาถ้อยคำของจำเลยทั้งสองแล้วเห็นเจตนาเด่นชัดว่าบุคคลที่กล่าวถึงคือผู้บริหาร กทม.ซึ่งหมายถึงโจทก์นอกจากนี้ในรายการ “สมัคร- ดุสิต คิดตามวัน” ทางช่อง 9 เมื่อวันที่ 12 ม.ค.49 จำเลยที่ 2 ยังกล่าวซ้ำอีกว่ามีภรรยาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ใน กทม.ซื้อรถยนต์ BMW เป็นรถใหม่ป้ายแดงโดยผู้รับเหมาบางรายซื้อให้และกล่าวต่อไปอีกว่าจำเลยที่ 2 กำลังติดตามดูอยู่ว่าเป็นรถสีอะไรขณะที่จำเลยที่ 1 ก็พูดสนับสนุนว่าเป็นความบกพร่องของดีเอสไอที่ทำให้ข่าวรั่วไหลถึงภายนอกมิฉะนั้นจะถึงขั้นจับกุมดำเนินคดีกัน อันเป็นการกล่าวย้ำให้เห็นว่าผู้บริหาร กทม.ที่จำเลยทั้งสองกล่าวถึงคือโจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบใช้อำนาจในตำแหน่งแสวงหาผลประโยชน์

ส่วนที่จำเลยทั้งสองร่วมกันจัดรายการ “ เช้าวันนี้ที่เมืองไทย” เมื่อวันที่ 13 ม.ค.49 โดยจำเลยทั้งสอง สนทนากันว่า การบริหาร กทม.มีการทุจริตโกงกินกันเป็นเงินมหาศาลคิดเป็นมูลค่า 2,500 – 3,000 ล้านบาท โดยเรียกร้องให้นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ,นายอลงกรณ์ พลบุตร และนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ช่วยกันตรวจสอบด้วยโดยจำเลยที่ 1 กล่าวว่าแนะนำให้นายอลงกรณ์ไปตรวจสอบเรื่องที่เอาเงินของผู้รับเหมาไปซื้อรถ BMW ราคาเกือบ 8 ล้านบาท ซึ่งแม้เหตุการณ์นี้จำเลยทั้งสองไม่ได้ระบุถึงตัวบุคคลผู้ทุจริตคิดมิชอบและใช้เงินของผู้รับเหมาไปซื้อรถยนต์ว่าเป็นใครก็ตาม แต่ข้อความที่จำเลยที่ 1 กล่าวนั้นเป็นข้อความซึ่งย้อนถึงการสนทนาในรายการ “เช้าวันนี้ ที่เมืองไทย” และรายการ “ สมัคร- ดุสิต คิดตามวัน” ที่จำเลยทั้งสองจัดเมื่อวันที่ 12 ม.ค.49 ซึ่งมีข้อความบ่งชัดว่าผู้บริหาร กทม.ซื้อรถ BMW โดยใช้เงินของผู้รับเหมาบางราย ดังนั้นจึงเห็นอยู่ในตัวว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกล่าวถึงผู้บริหาร กทม.ที่หมายถึงโจทก์

โดยข้อเท็จจริงยังปรากฏอีกว่าโจทก์ยังซื้อรถBMW ด้วยเงินสดโดยใช้ชื่อนางอุบลวรรณภรรยา เป็นเจ้าของรถและป้ายทะเบียนแดงเป็นเวลา 2 เดือน นอกจากนี้ จำเลยที่ 1 ยังตอบค้านทนายโจทก์รับว่าข้อความที่จำเลยที่ 2 กล่าวว่ามีภรรยาของผู้บริหาร กทม.ซื้อรถ BMW ฟังแล้วเข้าใจว่าหมายถึงโจทก์ ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าถ้อยคำที่จำเลยทั้งสองกล่าวเมื่อวันที่ 12 -13 ม.ค.49 เป็นการกล่าวถึงโจทก์โดยใช้คำว่าผู้บริหาร กทม.อำพรางไว้ ส่วนการสนทนาของจำเลยทั้งสองในรายการ “เช้าวันนี้ที่เมืองไทย” ในวันที่ 17 ม.ค.49 โดยจำเลยที่ 2 กล่าวว่าโจทก์แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่าเป็นผู้รับผิดชอบโครงการก่อสร้างสะพาน และอุโมงค์ขนาดใหญ่ของสำนักการโยธา รวม 16 โครงการด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรมและไม่เคยสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาล็อคสเปกเลยและจำเลยที่ 2 ยังพูดเปรียบเปรยว่าหากมีการล็อคสเปกจริงก็คงไม่มีใครกล้ารับว่าเป็นคนสั่งรวมทั้งว่าโครงการนี้มีการทุจริตในการประกวดราคาเป็นเงินถึง 2 หมื่นล้านบาทซึ่งดีเอสไอเข้าไปสอบสวนแล้วมีข่าวว่าผู้บริหาร กทม.ได้รับประโยชน์จากผู้รับเหมาด้วย ส่วนจำเลยที่ 1 กล่าวเสริมว่าเฝ้าดูแถลงการณ์ของโจทก์แล้วอ้างว่าโจทก์ซื้อรถยนต์มาในราคา 5 ล้านบาททั้งที่บริษัทผู้จำหน่ายแจ้งว่ารถมีราคาสูงถึง 7.8 ล้านบาทนั้น เห็นได้ว่าบทสนทนาของจำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ 12 ,13 และ 17 ม.ค.49 เป็นการเสนอข่าวให้ผู้ชมเชื่อว่าโครงการประกวดราคาก่อสร้างถนนและอุโมงค์ลอดถนนของ กทม.มีเงื่อนงำส่อไปในทางทุจริตเป็นเงินนับหมื่นล้านบาทโดยโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโครงการได้รับผลประโยชน์จากผู้รับเหมาบางราย อันเป็นการคลาดเคลื่อนไม่ตรงกับความเป็นจริงเพราะนอกจากโจทก์จะเบิกความยืนยันแล้วว่าถอนเงินส่วนตัวไปซื้อ ก็ยังมีสำเนาบัญชีเงินฝาก แคชเชียร์เช็ค และใบเสร็จรับเงินชั่วคราวเป็นหลักฐานสนับสนุนด้วย และยังมีข้อเท็จจริงซึ่งได้จากคำเบิกความของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รองอธิบดีดีเอสไอ พยานจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้สอบสวนโจทก์ที่มีผู้ร้องเรียนเกี่ยวกับการประมูลงานของ กทม.ยอมรับว่าไม่ได้สอบสวนถึงเรื่องที่โจทก์ซื้อรถ BMW เพราะไม่เกี่ยวกับเรื่องทุจริตแต่เป็นการใช้เงินตามฐานะของโจทก์เอง

ส่วนที่จำเลยที่ 1 เป็นพยานเบิกความว่าข้อความที่จำเลยกล่าวไม่มีข้อความใดพาดพิงถึงโจทก์ แต่เป็นกล่าวข้อเท็จจริงที่ข้าราชการ กทม.และบุคคลอื่นแจ้งให้ทราบ จำเลยที่ 1 จึงกล่าวไปตามนั้นไม่มีเจตนาใส่ความโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 2 เบิกความว่าจำเลยทั้งสองต่างมีข้อมูลของตัวเองแยกจากกันโดยจำเลยที่ 2 ได้รับข้อมูลจากผู้ชมรายการทางช่อง 5 และช่อง 9 ส่งมาให้ซึ่งไม่มีโอกาสตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยจำเลยที่ 2 เพียงต่อถ่ายทอดเรื่องราวที่ได้รับแจ้งมาให้ประชาชนทราบเพื่อเปิดโอกาสให้ร่วมกันตรวจสอบและหาทางป้องกันพฤติกรรมดังกล่าว ไม่มีเจตนาใส่ความโจทก์ ศาลเห็นว่าเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ อีกทั้งยังแสดงให้เห็นว่าเป็นการแจ้งข้อมูลที่ปราศจากการตรวจสอบที่เป็นการผิดวิสัยของสื่อมวลชนที่ดี ไม่ใช่เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตแต่อย่างใด พยานจำเลยทั้งสองที่นำสืบไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองจึงชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น

ส่วนที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ของให้รอการลงโทษ และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า ไม่เคยได้รับโทษจำคุกในคดีใดๆมาก่อน ซึ่งจำเลยที่ 1 ประกอบคุณงานมความดี ทำงานเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมาตลอดจนอายุถึง 72 ปี และเคยดำรงตำแหน่งการเมืองสำคัญ ได้แก่ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. สนช. ส.ว.ที่ได้คะแนนเสียง 2 แสนเสียงเศษ และผู้ว่า กทม. ที่ได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนเกินกว่า 1 ล้านเสียง และเมื่อวันที่ 19 เม.ย.49 ยังได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นสูง ชั้นทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ ซึ่งเหลืออีกเพียงชั้นเดียวก็จะถึงชั้นสูงสุด เห็นว่าจำเลยทั้งสองมีวุฒิภาวะสูงเคยดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมืองเป็นที่เชื่อถือยอมรับของสาธารณชนมานานย่อมรู้ว่าการแสดงความคิดเห็นของจำเลยทั้งสองมีน้ำหนักอาจก่อให้สาธารณชนคล้อยตามได้ง่าย อีกทั้งการแสดงความเห็นขณะเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์ย่อมนำเสนอข้อเท็จจริงให้แก่สาธารณชนได้ทั่วถึงกว้างไกลกระจายครอบคลุมทุกส่วนภูมิภาคของประเทศ และจำเลยทั้งสองกระทำความผิดหลายครั้งด้วยการออกอากาศรายการโทรทัศน์หลายรายการต่างเวลากันทำให้ผลการกระทำของจำเลยทั้งสองก่อให้เกิดความเสียหายแก่เกียรติยศชื่อเสียงของโจทก์อย่างกว้างขวาง ยิ่งเมื่อศาลเคยให้โอกาสจำเลยที่ 1 ซึ่งกระทำผิดทำนองนี้มาแล้วถึง 3 ครั้ง ( ถูกศาลพิพากษาลงโทษในความผิดฐานหมิ่นประมาท ฯ 3 คดี ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6031/2531 , ศาลอุทธรณ์ ที่ 4195/2534 และ 5093/2534 ) ได้กลับตัวโดยรอการลงโทษจำคุกให้ แต่ก็ไม่ได้หลาบจำ กลับกระทำการเป็นความผิดในคดีนี้อีก และหลังจากการกระทำจำเลยทั้งสองก็ไม่เคยแสดงความสำนึก ไม่เคยดำเนินการใดๆที่จะพยายามบรรเทาผลร้ายที่เกิดกับโจทก์ เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์กระทำความผิดที่จำเลยทั้งสองมุ่งใส่ความโจทก์ในคดีนี้ถึง 4 ครั้งเป็นความผิด 4 กระทงแสดงว่าจำเลยทั้งสองจงใจก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ไม่มีเหตุปรานีที่จะให้รอการลงโทษ อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน

โดยนายสมัครและนายดุสิต จำเลยที่ 1-2 ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดคนละ 2 แสนบาท ขอประกันตัวระหว่างฎีกา ซึ่งศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยทั้งสองโดยตีราคาประกันคนละ 2 แสนบาท

ภายหลังฟังคำพิพากษา นายสามารถ กล่าวว่า ขอขอบคุณศาลที่ให้ความเป็นธรรม และขอบคุณสื่อที่เสนอข้อเท็จจริงมาโดยตลอด รวมทั้งประชาชนที่ให้กำลังใจ และหากจำเลยจะยื่นฎีกาก็ขึ้นกับการพิจารณาของศาล

“ ผมเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามกฎแห่งกรรม และขอให้คดีนี้เป็นบทเรียนสำหรับผู้ที่ชอบพูดจาใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นเป็นอาจินทำให้คนที่มีความหวังดีต่อบ้านเมืองไม่กล้าเข้ามาทำงานการเมือง ” นายสามารถ กล่าวและว่า ส่วนที่ยื่นฟ้องคดีแพ่งทั้งสอง เรียกเงิน 100 ล้านบาท นั้น ที่ผ่านมาศาลแพ่ง มีคำสั่งพักการพิจารณาไว้ชั่วคราวเพื่อรอให้ผลของคดีอาญาถึงที่สุดก่อน”

ส่วนที่จะมีการประนีประนอมหรือไม่ นายสามารถ กล่าวว่า ยืนยันไปหลายครั้งแล้วว่าจะไม่มีการเจรจาประนีประนอม โดยตนขอใช้สิทธิ์อันชอบธรรมต่อสู้เรื่องนี้ให้ถึงที่สุด ส่วนการเจรจานอกรอบนั้นเคยมีหลายคนมาคุย แต่ตนไม่ยอมเจรจาเพราะตนต้องการพิสูจน์ความจริง

ถามต่อว่า หากผลคดีถึงที่สุดแล้วจะกลับมาทำงานใน กทม.อีกหรือไม่ นายสามารถ กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่ได้คุยกับนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าราชการกทม. ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไรนั้นต้องหารือกันอีกที

ขณะที่นายสมัครและนายดุสิต นั้นเมื่อศาลอนุญาตให้ประกันตัวแล้ว ทั้งสอง ได้หลบกองทัพผู้สื่อข่าว โดยเดินหนีออกทางประตูเข้า – ออกของผู้พิพากษาออกมาทางด้านหลังอาคารศาล ก่อนที่ไปขึ้นรถโตโยต้าแคมรี่สีดำ ทะเบียน ขส 4550 กทม. ซึ่งจอดรออยู่ชั้นล่างตรงด้านหลังศาลกลับออกไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ระหว่างฟังคำพิพากษานั้น นายสามารถซึ่งยืนอยู่บริเวณคอกที่นั่งทนายโจทก์ ได้พยายามมองจ้องหน้านายสมัครและนายดุสิตที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามบริเวณคอกที่นั่งทนายจำเลย หลายครั้ง แต่นายสมัครไม่มีท่าทีสนใจ ยืนคิ้วขมวด และเอามือมาประสานกันไว้ข้างหน้าโดยยืนฟังคำพิพากษาอย่างใจจดใจจ่อ ที่ศาลใช้เวลาอ่านนานชั่วโมงเศษ

สำหรับคดีนี้เมื่อศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นซึ่งให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญานั้น ตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 บัญญัติว่า คดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี และถ้าศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำเลยตามนั้น ห้ามไม่ให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งหากคู่ความจะยื่นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ต้องให้ผู้พิพากษาคนใดซึ่งร่วมพิจารณาสำนวนนั้นและเป็นเสียงข้างน้อยที่เห็นแย้ง หรืออัยการสูงสุด ลงนามรับรองเพื่อขออนุญาตฎีกาทั้งนี้เป็นไปตามาตรา 221 ดังนั้นหากนายสมัครและนายดุสิต จะยื่นฎีกาโต้แย้งปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อให้ศาลพิพากษายกฟ้องหรือรอการลงโทษ ก็จะต้องให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นเสียงข้างน้อยในพิจารณาสำนวนคดีในศาลชั้นต้น หรือศาลอุทธรณ์ เป็นผู้รับรองขออนุญาตฎีกา โดยจำเลยต้องนำคำรับรองนั้นยื่นต่อศาลชั้นต้นเพื่อส่งศาลฎีกาพิจารณาต่อไป
นายสมัครขณะเดินทางมาฟังคำคำพิพากษา
สีหน้าเคร่งเครียด
ไม่มีรอยยิ้มเลยสำหรับอดีตผู้นำประเทศ เหมือนกับรู้ถึงชาตะกรรม
กำลังโหลดความคิดเห็น