xs
xsm
sm
md
lg

“หมัก” ยังสู้! มอบทนายยื่นฎีกาสัปดาห์หน้า

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

“สมัคร สุนทรเวช” อดีตนายกรัฐมนตรี ยังสู้โทษจำคุก 2 ปี มอบทนายความเตรียมยื่นฎีกาสัปดาห์หน้า ทนายเผยลูกความอาการยังแข็งแรงดีขึ้น

วันนี้ (17 ต.ค.) นายประชุม ทองมี ทนายความของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยในคดีหมิ่นประมาทที่นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสมัคร สุนทรเวช และนายดุสิต ศิริวรรณ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สองผู้ดำเนินรายการ “สมัคร-ดุสิต คิดตามวัน” ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวี และรายการ “เช้าวันนี้ที่ช่อง 5” สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 เมื่อปี 2549 เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328, 332, 83 และ 91 สืบเนื่องจากกรณีระหว่างวันที่ 12-19 ม.ค.49 ได้มีการกล่าวว่าผู้บริหาร กทม.ได้รับเงินจากผู้รับเหมาโครงการประมูลก่อสร้างสะพานและอุโมงค์ของกรุงเทพมหานคร 10 โครงการซึ่งนำมาซื้อรถ BMW ซีรีส์ 7 สีบรอนซ์เงิน

โดยนายประชุมกล่าวถึงความคืบหน้าการยื่นฎีกาคดี ภายหลังศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญาว่า การเขียนคำร้องเพื่อยื่นฎีกาคดีใกล้จะเสร็จแล้ว ขณะนี้ทีมทนายความได้ตรวจสอบรายละเอียดคำร้องก่อนยื่นต่อศาลชั้นต้น เพื่อพิจารณาลงนามในการยื่นฎีกา หากศาลเห็นสมควรให้ฎีกาคดีจะส่งต่อไปยังศาลฎีกาทันที อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถระบุวันที่จะยื่นฎีกาได้ แต่จะสามารถยื่นทันภายในกรอบ 30 วัน คือก่อนวันที่ 25 ตุลาคมนี้อย่างแน่นอน

นายประชุม กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนได้ไปเยี่ยมนายสมัครที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ซึ่งนายสมัครแข็งแรงดีขึ้นมาก แต่แพทย์ยังให้พักฟื้นที่โรงพยาบาลต่อไปก่อน คาดว่าอีกไม่นานจะออกจากโรงพยาบาลได้ ส่วนกระแสข่าวที่ว่านายสมัครจะไปขึ้นเวทีปราศรัยของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน วันที่ 1 พฤศจิกายนนั้น ตนยังไม่ทราบ

สำหรับคดีนี้ เมื่อวันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำคุกจำเลยคนละ 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา พยานจำเลยทั้งสองที่นำสืบไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองจึงชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น

นอกจากนั้น ในคำพิพากษาศาลได้ชี้ว่า การที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ของให้รอการลงโทษ และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า ไม่เคยได้รับโทษจำคุกในคดีใดๆมาก่อน ซึ่งจำเลยที่ 1 ประกอบคุณงานมความดี ทำงานเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมาตลอดจนอายุถึง 72 ปี และเคยดำรงตำแหน่งการเมืองสำคัญ ได้แก่ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. สนช. ส.ว.ที่ได้คะแนนเสียง 2 แสนเสียงเศษ และผู้ว่า กทม. ที่ได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนเกินกว่า 1 ล้านเสียง และเมื่อวันที่ 19 เม.ย.49 ยังได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นสูง ชั้นทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ ซึ่งเหลืออีกเพียงชั้นเดียวก็จะถึงชั้นสูงสุด เห็นว่าจำเลยทั้งสองมีวุฒิภาวะสูงเคยดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมืองเป็นที่เชื่อถือยอมรับของสาธารณชนมานานย่อมรู้ว่าการแสดงความคิดเห็นของจำเลยทั้งสองมีน้ำหนักอาจก่อให้สาธารณชนคล้อยตามได้ง่าย อีกทั้งการแสดงความเห็นขณะเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์ย่อมนำเสนอข้อเท็จจริงให้แก่สาธารณชนได้ทั่วถึงกว้างไกลกระจายครอบคลุมทุกส่วนภูมิภาคของประเทศ และจำเลยทั้งสองกระทำความผิดหลายครั้งด้วยการออกอากาศรายการโทรทัศน์หลายรายการต่างเวลากันทำให้ผลการกระทำของจำเลยทั้งสองก่อให้เกิดความเสียหายแก่เกียรติยศชื่อเสียงของโจทก์อย่างกว้างขวาง ยิ่งเมื่อศาลเคยให้โอกาสจำเลยที่ 1 ซึ่งกระทำผิดทำนองนี้มาแล้วถึง 3 ครั้ง (ถูกศาลพิพากษาลงโทษในความผิดฐานหมิ่นประมาทฯ 3 คดี ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6031/2531, ศาลอุทธรณ์ ที่ 4195/2534 และ 5093/2534) ได้กลับตัวโดยรอการลงโทษจำคุกให้ แต่ก็ไม่ได้หลาบจำ กลับกระทำการเป็นความผิดในคดีนี้อีก และหลังจากการกระทำจำเลยทั้งสองก็ไม่เคยแสดงความสำนึก ไม่เคยดำเนินการใดๆ ที่จะพยายามบรรเทาผลร้ายที่เกิดกับโจทก์ เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์กระทำความผิดที่จำเลยทั้งสองมุ่งใส่ความโจทก์ในคดีนี้ถึง 4 ครั้งเป็นความผิด 4 กระทงแสดงว่าจำเลยทั้งสองจงใจก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ไม่มีเหตุปรานีที่จะให้รอการลงโทษ อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน

หลังพิพากษา นายสมัครและนายดุสิต จำเลยที่ 1-2 ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดคนละ 2 แสนบาท ขอประกันตัวระหว่างฎีกา

ขณะที่ นายสามารถ กล่าวว่า ขอขอบคุณศาลที่ให้ความเป็นธรรม พร้อมยืนยันว่าจะไม่มีการเจรจาประนีประนอม โดยขอใช้สิทธิ์อันชอบธรรมต่อสู้เรื่องนี้ให้ถึงที่สุด

สำหรับคดีนี้เมื่อศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นซึ่งให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญานั้น ตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 บัญญัติว่า คดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี และถ้าศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำเลยตามนั้น ห้ามไม่ให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งหากคู่ความจะยื่นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ต้องให้ผู้พิพากษาคนใดซึ่งร่วมพิจารณาสำนวนนั้นและเป็นเสียงข้างน้อยที่เห็นแย้ง หรืออัยการสูงสุด ลงนามรับรองเพื่อขออนุญาตฎีกาทั้งนี้เป็นไปตามาตรา 221 ดังนั้น หากนายสมัครและนายดุสิต จะยื่นฎีกาโต้แย้งปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อให้ศาลพิพากษายกฟ้องหรือรอการลงโทษ ก็จะต้องให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นเสียงข้างน้อยในพิจารณาสำนวนคดีในศาลชั้นต้น หรือศาลอุทธรณ์ เป็นผู้รับรองขออนุญาตฎีกา โดยจำเลยต้องนำคำรับรองนั้นยื่นต่อศาลชั้นต้นเพื่อส่งศาลฎีกาพิจารณาต่อไป
นายสมัคร สุนทรเวช ครั้งเดินทางไปฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

กำลังโหลดความคิดเห็น