xs
xsm
sm
md
lg

25 กันยายน “เผาจริง” ทรราชสมัคร!

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

เหลือเวลาอีก 15 วัน สำหรับวันชี้ชะตากรรม “นายสมัคร สุนทรเวช” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ นัดอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ในคดีตกเป็นจำเลยร่วมกับ นายดุสิต ศิริวรรณ ฐานหมิ่นประมาท นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม.ผ่านรายการสมัคร-ดุสิต คิดตามวันทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อสมท ในวันที่ 25 กันยายน 2551 เวลา 09.00 น.

“นายสมัคร”เขาคืออดีตนายกรัฐมนตรี จากเหตุศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง กรณีประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของ ส.ว.จำนวน 29 คน และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ในฐานะผู้ร้องที่ 1-2 ตามลำดับ เพื่อขอให้วินิจฉัยการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) และมาตรา 267 ประกอบ 182 วรรคสาม และมาตรา 91 กรณีการจัดรายการ “ชิมไปบ่นไป” และรายการ “ยกโขยงหกโมงเช้า”

โดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ชัดว่า “พยานหลักฐานทั้งหมดมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องทำหน้าที่พิธีกรในรายการ
“ชิมไปบ่นไป” หลังจากเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว โดยผู้ถูกร้องยังคงได้รับค่าตอบแทนที่มีลักษณะเป็นทรัพย์สินจากบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด ดังนั้น การที่ผู้ถูกร้องเป็นพิธีกรให้แก่บริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด จึงเป็นการรับจ้างการทำงานตามความหมายของคำว่า“ลูกจ้าง” ตามนัยแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 แล้ว กรณีถือได้ว่าผู้ถูกร้องเป็นลูกจ้างของบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด เป็นการกระทำอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องจึงสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7)

อาศัยเหตุผลข้างต้น ศาลรัฐธรรมนูญโดยมติเอกฉันท์ จึงวินิจฉัยว่าผู้ถูกร้องกระทำการอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 มีผลให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านายกรัฐมนตรีผู้ถูกร้องกระทำการอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 267 เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว

เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 จึงเป็นเหตุให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 180 วรรคหนึ่ง (1) แต่ด้วยความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีเป็นการสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ทำให้รัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีที่เหลือ จึงอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 181”

หลัง “นายสมัคร” สิ้นสภาพ พลพรรคพลังแม้ว...ยังไม่หยุดต่อสู้เพื่อนาย ภายใต้โจทย์ข้อใหญ่ คือ แก้รัฐธรรมนูญ เพื่อให้ขบวนการคนโกงชาติ กินเมือง หลุดพ้นคดีความ โดยที่พลพรรคคนชั่วเหล่านั้น จะผลักดันให้นายสมัคร บุคคลที่ไม่กลัวต่อบาป นั่งเป็น “หมัก หอกหัก” คอยต่อสู้กับความถูกต้อง (อธรรม สู้กับธรรมะ)

“นายสมัคร” คิดจะนั่งนายกฯ อีกรอบ ถือว่าคิดได้ แต่ไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อ“กฎแห่งกรรม”ไม่มีใครหนีพ้น เนื่องจากหากไปดูคำพิพากษาให้จำคุกในคดีหมิ่นประมาท นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ ที่ไปกล่าวหาเขาว่า รับสินบน “บีเอ็ม ซีรีส์ 7” - แบ่งเค้ก 3 พันล้าน ประมูลงานเมกะโปรเจกต์ ถือว่าไม่ธรรมดา ประกอบกับผู้สันทัดกรณีงานยุติธรรม ต่างฟันธงเป็นเสียงเดียวกันว่า มีความเป็นไปได้สูงที่นายสมัครจะติดคุกตอนแก่

ดังนั้น เพื่อเตือนสติคนที่ต้องการส่ง “นายสมัคร” นั่งนายกฯ อีกครั้ง ได้พิจารณาถึงความถูกต้อง เราลองไปย้อนดูคำพิพากษา ฉบับย่อ....ว่าศาลชั้นต้นท่านตัดสินไว้อย่างไร อีกทั้ง มีความเป็นไปได้หรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ ท่านจะพิพากษากลับ ให้นายสมัครพ้นผิด...

เริ่มจากคดีนี้ ฟ้องโจทก์ระบุความผิดจำเลยสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 12-19 ม.ค.49 จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ดำเนินรายการ”เช้าวันนี้ที่ช่อง 5 “ และรายการ“สมัคร-ดุสิต คิดตามวัน” ทางช่องโมเดิร์นไนน์ทีวี โดยวันที่ 12 ม.ค. 49 จำเลยทั้งสองได้กล่าวถ้อยคำกล่าวหาว่า “มีผู้บริหารกรุงเทพมหานครบางคนออกรถบีเอ็มฯ ซีรีส์ โดยใช้ชื่อภรรยาเป็นเจ้าของ ที่แท้มีผู้รับเหมาซื้อให้ ผ่านทั้งสองรายการในวันเดียวกัน ต่อมาวันที่ 13 ม.ค. 50 นายดุสิต จำเลยที่ 2 ได้กล่าวผ่านรายการ“สมัคร-ดุสิต คิดตามวัน”ว่า โครงการประมูลของกรุงเทพมหานคร 10 โครงการมันกินกัน 12-13% เกือบ 3,000 ล้านบาท โดยมีจำเลยที่ 1 กล่าวสนับสนุน นอกจากนี้ในวันที่ 17 ม.ค.49 จำเลยที่ 2 ได้กล่าวผ่านรายการเช้าวันนี้ที่ช่อง 5 ว่า ขออ่านจากข่าวนะ นายสามารถชี้แจงว่า ไม่เคยสั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาล็อกสเป็ก ขอถามคุณสมัครหน่อยว่า ใครจะกล้ารับว่าตัวเองเป็นคนสั่ง และข้อความอื่น ๆ ซึ่งล้วนเป็นเท็จทั้งสิ้น เหตุเกิดที่แขวงและเขตห้วยขวาง และที่อื่นเกี่ยวพันกัน การกระทำของจำเลยทั้งสอง ทำให้ประชาชนที่ชมรายการดังกล่าวเข้าใจผิดคิดว่าโจทก์เป็นคนไม่ดี เรียกรับทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงนำคดีมาฟ้องขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิดด้วย

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธทำนองเดียวกันว่า ไม่มีเจตนาหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย เพียงแต่กล่าวไปตามข้อเท็จจริงที่ทราบข้อมูลมา แต่ไม่ได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมทั้งการดำเนินรายการก็เป็นการระดมความคิดเห็นร่วมกับประชาชนให้ได้รับทราบ

“ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้วเห็นว่า ถ้อยคำที่บ่งบอกว่าผู้บริหารระดับสูงของกรุงเทพมหานครมีพฤติกรรมไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นความผิดทางอาญา โดยมีจำเลยที่ 1 กล่าวสนับสนุนว่าเป็นความจริง เมื่อฟังประกอบกันแล้วทำให้เห็นได้ชัดว่า เป็นผู้บริหารกรุงเทพมหานครคือโจทก์นั่นเอง เพราะขณะนั้นภรรยาโจทก์ขับรถยนต์ยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยู ป้ายแดงได้ 2 เดือน ทั้งยังมีการกล่าวย้ำว่ามีการใช้ตำแหน่งแสวงหาผลประโยชน์แม้ไม่ได้ระบุชื่อก็ตาม ทั้งที่ความจริงแล้วโจทก์มีหน้าที่รับผิดชอบงานด้านโยธา ดูแลเรื่องการก่อสร้างถนน สะพานข้ามแยก อุโมงค์ทางลอดต่างๆ นอกจากนี้ โจทก์ยังมี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เบิกความเกี่ยวกับการตรวจสอบการทุจริตของโจทก์นั้น ชุดสืบสวนไม่ได้ตรวจสอบเรื่องการซื้อรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูคันดังกล่าว เพราะเป็นทรัพย์สินที่โจทก์ซื้อด้วยเงินตัวเองโดยมีการนำสำเนาบัญชีของธนาคารกรุงเทพฯ สำเนาเช็คเงินสด มาแสดงเป็นหลักฐานการชำระเงิน

การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการเสนอข่าวให้ประชาชนเชื่อว่า การก่อสร้างของกรุงเทพมหานครมีเงื่อนงำ ทุจริต ซึ่งเป็นการหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย ถูกดูหมิ่นเกลียดชังจริง ข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น ทั้งนี้จำเลยที่ 1 ได้เคยกระทำผิดฐานหมิ่นประมาทมาแล้วหลายครั้ง โดยศาลปรานีให้รอการลงโทษไว้เพื่อให้ปรับตัวเป็นคนดี แต่จำเลยที่ 1 กลับกระทำผิดซ้ำในความผิดเดิมอีก พิพากษาให้จำคุกจำเลยทั้งสองรวม 4 กระทง ๆ ละ 6 เดือน รวมจำคุกคนละ 24 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และให้โฆษณาคำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์ติดต่อกันเป็นเวลา 3 วัน โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย

ภายหลังฟังคำพิพากษาเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวทั้งสองไปควบคุมไว้ในห้องพิจารณาคดีที่ 15 ระหว่างนั้น นายสมัคร กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ต้องยื่นอุทธรณ์แน่นอน ต่อมาทนายความได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอประกันตัวเป็นเงินสดคนละ 2 แสนบาท ระหว่างอุทธรณ์คดีโดยศาลพิเคราะห์แล้วอนุญาตให้ทั้งสองประกันตัวไปโดยตีราคาประกันคนละ 2 แสนบาท

คดีนี้ วันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา นายสมัครพยายามยื้อการอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ด้วยการส่งทนายความขอเลื่อน โดยอ้างเหตุผลว่า “จำเลยในฐานะนายกรัฐมนตรีต้องเดินทางไปเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ สมัยประชุมที่ 63 ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยต้องออกเดินทางไปตั้งแต่วันที่ 21 ก.ย.เพราะจะต้องเป็นประธานการประชุมเอกอัครราชทูตไทยในภาคพื้นยุโรปที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก่อนจึงเดินทางไปประชุมสมัชชาสหประชาชาติตั้งแต่วันที่ 22 ก.ย.และมีกำหนดกลับถึงประเทศไทยวันที่ 27 ก.ย. การประชุมดังกล่าวได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว และในวันที่ศาลนัดฟังคำพิพากษาจำเลยยังประชุมอยู่ที่สหประชาชาติ จึงกลับมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันที่ 25 ก.ย.เวลา 09.00 น.ไม่ทัน ด้วยเหตุจำเป็นจึงขอศาลเลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปสักนัดเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม”

โดยข้ออ้างของนายสมัคร ศาลยังไม่รับฟังและรอให้มาฟังคำสั่งศาลในวันที่ 25 กันยายน เวลา 09.00 น.

วันนี้ นายสมัคร คือ อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ที่ไม่กลัวต่อบาป ส่วนวันที่ 25 กันยายนนี้ เขาจะถูกนำตัวเข้าคุกหรือไม่ ถือเป็นผลแห่งกรรมที่ได้กระทำไว้ หรือสุดท้าย...คุก! ดีเกินไป สำหรับ “ทรราชสมัคร”

“กันยาทมิฬ”...เริ่มแล้ว “หมัก กระหายเลือด!!”
นายสมัคร  สุนทรเวช
นายดุสิต  ศิริวรรณ
นายสามารถ  ราชพลสิทธิ์
กำลังโหลดความคิดเห็น