สำหรับรหัส Gti แล้ว ใครที่เป็นแฟนของโฟล์คสวาเกน ไม่ว่าจะกอล์ฟ หรือโปโล ย่อมต้องรู้จักชื่อนี้เป็นอย่างดี เพราะนับจากเจนเนอเรชันแรกของกอล์ฟ หรือ Mk I นี่คือความแรงซึ่งถือเป็นสุดยอดของสายพันธุ์ ก่อนตำแหน่งนี้จะถูกแทนที่ด้วยรหัส R32 ในเจนเนอเรชันที่ 4 ในปี 2002 ซึ่งพัฒนาโดยหน่วยงานพิเศษ Volkswagen Individual
และเจนเนอเรชันที่ 6 หรือ Mk VI ที่บ้านเรามีโอกาสสัมผัสกันอีกครั้งจากการเปิดตัวงานบางกอก มอเตอร์โชว์กับราคา 2 ล้านนิดๆ ทางโฟล์คสวาเกนในยุโรปส่งโฉมใหม่ของรหัสแรง Gti ลงทำตลาด และไม่ได้มาเดี่ยว แต่ยังปัดฝุ่นนำรหัส GTD ซึ่งเปรียบเสมือนภาคความแรงคู่ขนานของ Gti กลับมาทำตลาดอีกครั้งด้วย และทั้ง 2 เวอร์ชันใหม่นี้พร้อมขายในเวลา
มาที่ Gti กันก่อน ตัวแรงรุ่นนี้รู้จักกันมาตั้งแต่ปี 1976 และเป็นขาประจำที่มีขายอยู่กับกอล์ฟทุกตัวถัง จนกระทั่งมาถึงรุ่นปัจจุบันที่แชร์พื้นฐานของรหัส Mk VI ซึ่งใช้พื้นตัวถังรุ่น PQ35 ของเครือโฟล์คสวาเกน และเป็นการปรับปรุงมาจากพื้นฐานเดียวกันของรุ่นที่แล้ว คือ Mk V แต่งานออกแบบใหม่ทั้งหมดจากฝีมือของวอลเตอร์ ดา ซิลวา และเหมือนกับรุ่นที่แล้ว การทำตลาดมีให้เลือกทั้งแบบ 3 และ 5 ประตูในแบบแฮทช์แบ็ก
ตัวแรงรุ่นนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก และนับจากรุ่นแรกจนถึงปี 2004 ซึ่งเป็นช่วงที่เจนเนอเรชันที่ 5 กำลังทำตลาด กอล์ฟ Gti กวาดยอดขายสะสมรวมกันมากกว่า 1.7 ล้านคันทั่วโลก และมีฮันส์-โยอาคิม สตัค นักแข่งรถชื่อดังชาวเยอรมนีเป็นแฟนพันธุ์แท้ ซึ่งเขาสะสม Gti ครบทุกสายพันธุ์ตั้งแต่ 1-5 และแน่นอนรวมถึงรุ่นใหม่นี้ด้วย
ความเร้าใจในสไตล์ Hot hatch เป็นเครื่องยนต์ TSI แบบ 4 สูบ เทอร์โบ ที่ได้รับการอัพเกรดมาจากบล็อก T-FSI หรือเครื่องยนต์สหกรณ์ของเครือโฟล์คสวาเกนเพราะวางอยู่ในรถยนต์หลายรุ่นหลายยี่ห้อในเครือ โดยโฟล์คสวาเกนเผยว่า TSI แชร์พื้นฐานจาก T-FSI รวมถึงความจุในระดับ 1,984 ซีซีก็จริง แต่มีการเปลี่ยนชิ้นส่วนไส้ในของเครื่องยนต์ใหม่ ทั้งลูกสูบ แหวนลูกสูบ ปั๊มน้ำมันเครื่อง ท่อร่วมไอดี และใช้ปั๊มจ่ายน้ำมันที่มีแรงดันสูงขึ้น
กำลังขยับเพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิม 10 แรงม้าเป็น 210 แรงม้า ที่ 5,300-6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 28.4 กก.-ม. ที่ 1,700-5,200 รอบ/นาที เลือกได้ทั้งแบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือ DSG แบบคลัตช์ไฟฟ้าที่มีจำนวนจังหวะเท่ากัน และใช้เวลา 6.9 วินาทีในการทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนความเร็วปลายอยู่ที่ 240 กิโลเมตร/ชั่วโมง
สำหรับอีกทางเลือกที่เป็นคู่ขนานของ Gti อย่าง GTD นั้นคือ ความแรงในแบบเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล ซึ่งรหัสนี้เคยทำตลาดครั้งแรกในปี 1982 ก่อนที่จะเงียบหายไป และกลับมาใหม่อีกครั้ง โดยในรุ่นนี้ใหม่นี้ แรงและเร้าใจด้วยเครื่องยนต์ 4 สูบ 2,000 ซีซี เทอร์โบดีเซล คอมมอนเรล มีกำลังสูงสุด 170 แรงม้า ที่ 4,200 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 35.6 กก.-ม. ที่ 1,500-2,500 รอบ/นาที จับคู่กับระบบส่งกำลังเหมือนกรหัส Gti
และที่สำคัญแม้ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ดีเซล แต่ก็มีการปรับแต่งเสียงทั้งในช่วงรอบเดินเบาและขณะที่กำลังกระแทกคันเร่งให้เร้าความรู้สึกเหมือนกับที่ได้จาก GTi ส่วนอัตราเร่งอาจจะอืดกว่านิดหน่อย เพราะใช้เวลา 8.3 วินาทีในการทะยานจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และความเร็วปลาย 220 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ทั้ง 2 เวอร์ชันลงขายในยุโรปแล้ว โดย Gti จะมีราคาอยู่ระหว่าง 18,861-20,504 ปอนด์ หรือ 961,000-1,040,000 บาท ส่วน GTD แม้จะแรงน้อยกว่าในเรื่องสมรรถนะ แต่ราคากลับเหนือกว่า เพราะโฟล์คสวาเกนตั้งเอาไว้ที่ 22,000 ปอนด์ หรือ 1,120,000 บาท
และเจนเนอเรชันที่ 6 หรือ Mk VI ที่บ้านเรามีโอกาสสัมผัสกันอีกครั้งจากการเปิดตัวงานบางกอก มอเตอร์โชว์กับราคา 2 ล้านนิดๆ ทางโฟล์คสวาเกนในยุโรปส่งโฉมใหม่ของรหัสแรง Gti ลงทำตลาด และไม่ได้มาเดี่ยว แต่ยังปัดฝุ่นนำรหัส GTD ซึ่งเปรียบเสมือนภาคความแรงคู่ขนานของ Gti กลับมาทำตลาดอีกครั้งด้วย และทั้ง 2 เวอร์ชันใหม่นี้พร้อมขายในเวลา
มาที่ Gti กันก่อน ตัวแรงรุ่นนี้รู้จักกันมาตั้งแต่ปี 1976 และเป็นขาประจำที่มีขายอยู่กับกอล์ฟทุกตัวถัง จนกระทั่งมาถึงรุ่นปัจจุบันที่แชร์พื้นฐานของรหัส Mk VI ซึ่งใช้พื้นตัวถังรุ่น PQ35 ของเครือโฟล์คสวาเกน และเป็นการปรับปรุงมาจากพื้นฐานเดียวกันของรุ่นที่แล้ว คือ Mk V แต่งานออกแบบใหม่ทั้งหมดจากฝีมือของวอลเตอร์ ดา ซิลวา และเหมือนกับรุ่นที่แล้ว การทำตลาดมีให้เลือกทั้งแบบ 3 และ 5 ประตูในแบบแฮทช์แบ็ก
ตัวแรงรุ่นนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก และนับจากรุ่นแรกจนถึงปี 2004 ซึ่งเป็นช่วงที่เจนเนอเรชันที่ 5 กำลังทำตลาด กอล์ฟ Gti กวาดยอดขายสะสมรวมกันมากกว่า 1.7 ล้านคันทั่วโลก และมีฮันส์-โยอาคิม สตัค นักแข่งรถชื่อดังชาวเยอรมนีเป็นแฟนพันธุ์แท้ ซึ่งเขาสะสม Gti ครบทุกสายพันธุ์ตั้งแต่ 1-5 และแน่นอนรวมถึงรุ่นใหม่นี้ด้วย
ความเร้าใจในสไตล์ Hot hatch เป็นเครื่องยนต์ TSI แบบ 4 สูบ เทอร์โบ ที่ได้รับการอัพเกรดมาจากบล็อก T-FSI หรือเครื่องยนต์สหกรณ์ของเครือโฟล์คสวาเกนเพราะวางอยู่ในรถยนต์หลายรุ่นหลายยี่ห้อในเครือ โดยโฟล์คสวาเกนเผยว่า TSI แชร์พื้นฐานจาก T-FSI รวมถึงความจุในระดับ 1,984 ซีซีก็จริง แต่มีการเปลี่ยนชิ้นส่วนไส้ในของเครื่องยนต์ใหม่ ทั้งลูกสูบ แหวนลูกสูบ ปั๊มน้ำมันเครื่อง ท่อร่วมไอดี และใช้ปั๊มจ่ายน้ำมันที่มีแรงดันสูงขึ้น
กำลังขยับเพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิม 10 แรงม้าเป็น 210 แรงม้า ที่ 5,300-6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 28.4 กก.-ม. ที่ 1,700-5,200 รอบ/นาที เลือกได้ทั้งแบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือ DSG แบบคลัตช์ไฟฟ้าที่มีจำนวนจังหวะเท่ากัน และใช้เวลา 6.9 วินาทีในการทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนความเร็วปลายอยู่ที่ 240 กิโลเมตร/ชั่วโมง
สำหรับอีกทางเลือกที่เป็นคู่ขนานของ Gti อย่าง GTD นั้นคือ ความแรงในแบบเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล ซึ่งรหัสนี้เคยทำตลาดครั้งแรกในปี 1982 ก่อนที่จะเงียบหายไป และกลับมาใหม่อีกครั้ง โดยในรุ่นนี้ใหม่นี้ แรงและเร้าใจด้วยเครื่องยนต์ 4 สูบ 2,000 ซีซี เทอร์โบดีเซล คอมมอนเรล มีกำลังสูงสุด 170 แรงม้า ที่ 4,200 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 35.6 กก.-ม. ที่ 1,500-2,500 รอบ/นาที จับคู่กับระบบส่งกำลังเหมือนกรหัส Gti
และที่สำคัญแม้ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ดีเซล แต่ก็มีการปรับแต่งเสียงทั้งในช่วงรอบเดินเบาและขณะที่กำลังกระแทกคันเร่งให้เร้าความรู้สึกเหมือนกับที่ได้จาก GTi ส่วนอัตราเร่งอาจจะอืดกว่านิดหน่อย เพราะใช้เวลา 8.3 วินาทีในการทะยานจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และความเร็วปลาย 220 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ทั้ง 2 เวอร์ชันลงขายในยุโรปแล้ว โดย Gti จะมีราคาอยู่ระหว่าง 18,861-20,504 ปอนด์ หรือ 961,000-1,040,000 บาท ส่วน GTD แม้จะแรงน้อยกว่าในเรื่องสมรรถนะ แต่ราคากลับเหนือกว่า เพราะโฟล์คสวาเกนตั้งเอาไว้ที่ 22,000 ปอนด์ หรือ 1,120,000 บาท
