ดูเหมือนว่ารถยนต์ต้นแบบที่ถูกเปิดตัวในช่วงหลายปีที่ผ่านมามักจะมีนัยยะแอบแฝงอยู่ โดยเฉพาะการสื่อให้เห็นถึงสไตล์และงานออกแบบที่เตรียมถูกนำมาใช้กับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่กำลังจะเปิดตัว เพราะไม่ว่าจะเป็นเมอร์เซเดส-เบนซ์ ConceptFascination หรือบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 แกรน ทัวริสโม คอนเซ็ปต์ สิ่งสำคัญนอกจากจะเป็น Show Car สำหรับเรียกเสียงฮือฮาตามเวทีมอเตอร์โชว์แล้ว ต้นแบบเหล่านี้ยังแฝงด้วยเส้นสายสำหรับใช้กับอี-คลาส และซีรีส์ 5 รุ่นใหม่ตามลำดับ
สำหรับค่ายฟอร์ด ต้นแบบรุ่นใหม่แกะกล่องที่มีชื่อว่าไอโอซิส แม็กซ์ คอนเซ็ปต์ก็มาในสไตล์เดียวกับต้นแบบข้างต้น แถมยังเป็นรถยนต์ที่มีความเกี่ยวข้องกับตลาดในบ้านเราด้วย เพราะมาร์ติน สมิท หัวหน้าทีมออกแบบของฟอร์ดเผยว่างานออกแบบทั้งหมดจะถูกนำมาประยุกต์ใช้กับรถยนต์ในกลุ่มคอมแพ็กต์ หรือ C-Segment ที่ขายอยู่ในตลาดโลก
ตรงนี้ไม่ต้องเดาให้เหนื่อย เพราะหมายถึงโฟกัสอย่างแน่นอน และบรรดาสื่อมวลชนต่างแดนต่างก็ระบุว่า นี่คือหน้าตาคร่าวๆ ของโมเดลเชนจ์ของโฟกัสใหม่ ซึ่งเป็นเจนเนอเรชันที่ 3 ที่มีคิวเปิดตัวในตลาดโลกช่วงปี 2011 อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ครั้งแรกของฟอร์ดที่ทำเช่นนี้ โดยที่เกิดขึ้นล่าสุดคือในยุคที่สไตล์การออกแบบที่เรียกว่า Kinetic Design ถูกนำมาใช้แทนที่ New Edge Design เมื่อปี 2005 ซึ่งตอนนั้น ฟอร์ดเปิดตัวต้นแบบที่ชื่อไอโอซิสออกมา และงานออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกของต้นแบบรุ่นนี้ก็ถูกนำมาใช้กับมอนเดโอใหม่ซึ่งเป็นเจนเนอเรชันที่ 4 ในปี 2007 และในปารีส มอเตอร์โชว์ 2006 ต้นแบบทรงเอสยูวีที่ชื่อไอโอซิส เอ็กซ์ก็กลายมาเป็นรุ่นคูก้าปี 2008 ซึ่งขั้นตอนของการพัฒนาตามสเต็ปเช่นนี้ก็กำลังจะเกิดขึ้นกับโฟกัสใหม่เช่นกัน
แน่นอนว่าเมื่อยังเป็นต้นแบบ ทีมงานของฟอร์ดจึงสามารถสร้างสรรค์ให้ตัวรถสามารถแสดงความโดดเด่นอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการออกแบบรูปทรงให้มาในสไตล์แฮทช์แบ็ก 5 ประตูที่มีความโดดเด่นตรงประตูบานหลัง ซึ่งเปิดออกในลักษณ์สไลด์ไปทางด้านหลังเหมือนพวกมินิแวนสัญชาติญี่ปุ่น พร้อมกับถอดเสากลาง หรือ B-Pillar ออกไป เพื่อความสะดวกในการเข้าและออกจากห้องโดยสาร
ส่วนประเด็นที่ว่าเมื่อถึงเวลาขายจริงแล้ว โฟกัสใหม่จะมากับความโดดเด่นในลักษณะนี้หรือไม่นั้น ตรงนี้ยังไม่มีคำตอบแบบชัวร์ๆ 100% แต่ถ้าคาดเดาจากแนวทางของ 2 รุ่นที่ผ่านมา เรื่องที่ว่าจะนำมาใช้กับรุ่นขายจริง คงยากที่จะเกิดขึ้น
นอกจากรูปลักษณ์ที่สวยและล้ำสมัยแล้ว อีกสิ่งที่ทำให้ต้นแบบรุ่นนี้น่าสนใจคือ การปรับตัวตามนโยบาย EcoBoost ของฟอร์ด สหรัฐอเมริกาในการนำเครื่องยนต์ความจุน้อยมาเบ่งกล้ามด้วยการติดเทอร์โบ ซึ่งตรงนี้มีข้อดีตามแนวคิดของฟอร์ดว่า จะขับให้แรงหรือประหยัดขึ้นอยู่กับเท้าขวาของผู้ขับ
เพราะการใช้เครื่องยนต์ความจุน้อยย่อมให้ความประหยัดในการใช้งานอยู่แล้ว แต่ก็มีข้อด้อยตรงที่เรื่องจำนวนแรงม้า ซึ่งก็ลบจุดอ่อนตรงนี้ด้วยระบบอัดอากาศอย่างเทอร์โบชาร์จ หากอยากขับประหยัดก็ค่อย ๆ ไล่รอบเหมือนกับการขับปกติ แต่ถ้าใจร้อนอยากเรียกม้าออกมาใช้งาน ก็กระแทกคันเร่งหนักๆ เพื่อให้เทอร์โบทำงาน เรียกว่าเหมือนกับมีกำลังสำรองเตรียมเอาไว้ อยากใช้เมื่อไรก็ค่อยเรียกออกมา
จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1,600 ซีซี ซึ่งปกติแล้วจะมีกำลังอยู่ที่ 115-120 แรงม้า เมื่อได้รับการพัฒนาตามแนวทาง EcoBoost ของฟอร์ดจะสามารถรีดกำลังออกมาได้ถึง 180 แรงม้า และเมื่อบวกกับเทคโนโลยีใหม่ที่ติดตั้งเข้าไป เช่น ระบบไดเร็กต์อินเจ๊กชันจะมีความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงดีขึ้นจากเครื่องยนตบเดิมๆ ที่มีความจุเท่ากันถึง 20%
นอกจากนั้นตัวรถยังมีการติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ 6 จังหวะ Dual Clutch ที่มีการทำงานอย่างฉับไว รวมถึงมีระบบ Auto-Start-Stop ซึ่งมีการทำงานเหมือนกับรถยนต์ไฮบริด โดยจะดับเครื่องยนต์เมื่อจอดติดอยู่กับที่ เพื่อลดความสิ้นเปลืองน้ำมันนและการปลดปล่อยมลพิษ ทำให้ตัวรถมีระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสียเพียง 125 กรัมต่อการใช้งาน 1 กิโลเมตร
ฟอร์ดเผยว่าเครื่องยนต์ในสไตล์ EcoBoost จะถูกนำมาใช้กับรถยนต์ของตัวเองที่ขายในยุโรปช่วงปี 2010 ส่วนใครที่อยากจะรู้ว่าหน้าตาของโฟกัสใหม่ที่จะเปิดตัวอีกไม่เกิน 2 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ดูได้จากต้นแบบรุ่นนี้ ซึ่งเชื่อว่าคงจะไม่แตกต่างมากเท่าไรนัก
สำหรับค่ายฟอร์ด ต้นแบบรุ่นใหม่แกะกล่องที่มีชื่อว่าไอโอซิส แม็กซ์ คอนเซ็ปต์ก็มาในสไตล์เดียวกับต้นแบบข้างต้น แถมยังเป็นรถยนต์ที่มีความเกี่ยวข้องกับตลาดในบ้านเราด้วย เพราะมาร์ติน สมิท หัวหน้าทีมออกแบบของฟอร์ดเผยว่างานออกแบบทั้งหมดจะถูกนำมาประยุกต์ใช้กับรถยนต์ในกลุ่มคอมแพ็กต์ หรือ C-Segment ที่ขายอยู่ในตลาดโลก
ตรงนี้ไม่ต้องเดาให้เหนื่อย เพราะหมายถึงโฟกัสอย่างแน่นอน และบรรดาสื่อมวลชนต่างแดนต่างก็ระบุว่า นี่คือหน้าตาคร่าวๆ ของโมเดลเชนจ์ของโฟกัสใหม่ ซึ่งเป็นเจนเนอเรชันที่ 3 ที่มีคิวเปิดตัวในตลาดโลกช่วงปี 2011 อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ครั้งแรกของฟอร์ดที่ทำเช่นนี้ โดยที่เกิดขึ้นล่าสุดคือในยุคที่สไตล์การออกแบบที่เรียกว่า Kinetic Design ถูกนำมาใช้แทนที่ New Edge Design เมื่อปี 2005 ซึ่งตอนนั้น ฟอร์ดเปิดตัวต้นแบบที่ชื่อไอโอซิสออกมา และงานออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกของต้นแบบรุ่นนี้ก็ถูกนำมาใช้กับมอนเดโอใหม่ซึ่งเป็นเจนเนอเรชันที่ 4 ในปี 2007 และในปารีส มอเตอร์โชว์ 2006 ต้นแบบทรงเอสยูวีที่ชื่อไอโอซิส เอ็กซ์ก็กลายมาเป็นรุ่นคูก้าปี 2008 ซึ่งขั้นตอนของการพัฒนาตามสเต็ปเช่นนี้ก็กำลังจะเกิดขึ้นกับโฟกัสใหม่เช่นกัน
แน่นอนว่าเมื่อยังเป็นต้นแบบ ทีมงานของฟอร์ดจึงสามารถสร้างสรรค์ให้ตัวรถสามารถแสดงความโดดเด่นอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการออกแบบรูปทรงให้มาในสไตล์แฮทช์แบ็ก 5 ประตูที่มีความโดดเด่นตรงประตูบานหลัง ซึ่งเปิดออกในลักษณ์สไลด์ไปทางด้านหลังเหมือนพวกมินิแวนสัญชาติญี่ปุ่น พร้อมกับถอดเสากลาง หรือ B-Pillar ออกไป เพื่อความสะดวกในการเข้าและออกจากห้องโดยสาร
ส่วนประเด็นที่ว่าเมื่อถึงเวลาขายจริงแล้ว โฟกัสใหม่จะมากับความโดดเด่นในลักษณะนี้หรือไม่นั้น ตรงนี้ยังไม่มีคำตอบแบบชัวร์ๆ 100% แต่ถ้าคาดเดาจากแนวทางของ 2 รุ่นที่ผ่านมา เรื่องที่ว่าจะนำมาใช้กับรุ่นขายจริง คงยากที่จะเกิดขึ้น
นอกจากรูปลักษณ์ที่สวยและล้ำสมัยแล้ว อีกสิ่งที่ทำให้ต้นแบบรุ่นนี้น่าสนใจคือ การปรับตัวตามนโยบาย EcoBoost ของฟอร์ด สหรัฐอเมริกาในการนำเครื่องยนต์ความจุน้อยมาเบ่งกล้ามด้วยการติดเทอร์โบ ซึ่งตรงนี้มีข้อดีตามแนวคิดของฟอร์ดว่า จะขับให้แรงหรือประหยัดขึ้นอยู่กับเท้าขวาของผู้ขับ
เพราะการใช้เครื่องยนต์ความจุน้อยย่อมให้ความประหยัดในการใช้งานอยู่แล้ว แต่ก็มีข้อด้อยตรงที่เรื่องจำนวนแรงม้า ซึ่งก็ลบจุดอ่อนตรงนี้ด้วยระบบอัดอากาศอย่างเทอร์โบชาร์จ หากอยากขับประหยัดก็ค่อย ๆ ไล่รอบเหมือนกับการขับปกติ แต่ถ้าใจร้อนอยากเรียกม้าออกมาใช้งาน ก็กระแทกคันเร่งหนักๆ เพื่อให้เทอร์โบทำงาน เรียกว่าเหมือนกับมีกำลังสำรองเตรียมเอาไว้ อยากใช้เมื่อไรก็ค่อยเรียกออกมา
จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1,600 ซีซี ซึ่งปกติแล้วจะมีกำลังอยู่ที่ 115-120 แรงม้า เมื่อได้รับการพัฒนาตามแนวทาง EcoBoost ของฟอร์ดจะสามารถรีดกำลังออกมาได้ถึง 180 แรงม้า และเมื่อบวกกับเทคโนโลยีใหม่ที่ติดตั้งเข้าไป เช่น ระบบไดเร็กต์อินเจ๊กชันจะมีความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงดีขึ้นจากเครื่องยนตบเดิมๆ ที่มีความจุเท่ากันถึง 20%
นอกจากนั้นตัวรถยังมีการติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ 6 จังหวะ Dual Clutch ที่มีการทำงานอย่างฉับไว รวมถึงมีระบบ Auto-Start-Stop ซึ่งมีการทำงานเหมือนกับรถยนต์ไฮบริด โดยจะดับเครื่องยนต์เมื่อจอดติดอยู่กับที่ เพื่อลดความสิ้นเปลืองน้ำมันนและการปลดปล่อยมลพิษ ทำให้ตัวรถมีระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสียเพียง 125 กรัมต่อการใช้งาน 1 กิโลเมตร
ฟอร์ดเผยว่าเครื่องยนต์ในสไตล์ EcoBoost จะถูกนำมาใช้กับรถยนต์ของตัวเองที่ขายในยุโรปช่วงปี 2010 ส่วนใครที่อยากจะรู้ว่าหน้าตาของโฟกัสใหม่ที่จะเปิดตัวอีกไม่เกิน 2 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ดูได้จากต้นแบบรุ่นนี้ ซึ่งเชื่อว่าคงจะไม่แตกต่างมากเท่าไรนัก