ข่าวที่ว่าสายพันธุ์ A5 ของออดี้อาจจะไม่ได้มีแค่ตัวถังคูเป้ และเปิดประทุนในการทำตลาดดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ข่าวลือหรือข่าวโคมลอยอีกต่อไป เพราะคล้อยหลังข่าวที่ว่า A5 อาจจะมีรุ่น 4 ประตูมาดสปอร์ตในชื่อสปอร์ตแบ็คออกมาทำตลาดได้ไม่นาน ออดี้ก็จัดการส่งต้นแบบที่ใช้ชื่อว่าสปอร์ตแบ็คออกมาอวดโฉมทันที พร้อมความเร้าใจในสไตล์ฟาสต์แบ็ก
ชื่อสปอร์ตแบ็คถูกนำมาใช้ครั้งแรกปี 2004 กับรถยนต์สายพันธุ์ A3 แบบ 5 ประตูที่ขายอยู่ในปัจจุบัน เพื่อสื่อให้เห็นถึงความสปอร์ตและปราดเปรียวบนตัวถังแบบแฮทช์แบ็ก ซึ่งจากนิยามนี้ ออดี้นำมาต่อยอดในการสร้างสรรค์ความสวยและโฉบเฉี่ยวรูปแบบใหม่ในสไตล์ฟาสต์แบ็กแบบ 4 ประตู ที่มีการออกแบบตัวถังด้านท้ายให้ลาดเท และประตูบานหลังซึ่งออกแบบให้มีลักษณะแคบจนดูคล้ายกับรถสปอร์ตคูเป้
ตัวรถได้รับการพัฒนาบนพื้นฐานเดียวกับ A5 คูเป้ แต่มีการขยายเรือนร่างให้ใหญ่ขึ้น ด้วยมิติตัวถังที่มีความยาวในระดับ 4,950 มิลลิเมตร กว้าง 1,930 มิลลิเมตร สูง 1,400 มิลลิเมตร พร้อมความเพรียวลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านทานหรือ Cd เพียง 0.30 และเสริมความหล่อด้วยล้อแม็กขนาด 21 นิ้ว ขณะที่ด้านท้ายให้ความอเนกประสงค์ด้วยพื้นที่ใช้สอยที่มีความจุถึง 500 ลิตรตามมาตรฐานของ VDA
เมื่อออดี้ต้องการโปรโมทความยอดเยี่ยมของเครื่องยนต์ดีเซลในตลาดสหรัฐอเมริกา ในรุ่นต้นแบบของสปอร์ตแบ็คจึงไม่พลาดที่จะนำขุมพลังเทอร์โบดีเซลรุ่นดังมาวางอยู่ใต้ฝากระโปรง ซึ่งขุมพลังวี6 3,000 ซีซี TDi ได้รับการพัฒนาให้สามารถลดระดับมลพิษในไอเสียด้วยการนำเทคโนโลยีที่เรียกว่า AdBlue เข้ามาใช้ด้วยการฉีดสารพิเศษเข้าไปในท่อไอเสียเพื่อลดระดับของก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ ซึ่งเมื่อทำงานร่วมกับระบบบำบัดไอเสียแบบ DeNOx แล้ว ทำให้ก๊าซตัวนี้ลดลงจากเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลปกติถึง 90% และมีระดับมลพิษต่ำ สามารถผ่านระดับมาตรฐานไอเสีย EURO 6 ที่จะเริ่มใช้ในยุโรปช่วงปี 2014 ได้
นอกจากนั้นในส่วนของระบบอื่นๆ ยังมีการติดตั้งหัวฉีดคอมมอนเรลแบบ Piezo รุ่นใหม่ ทำงานร่วมกับเทอร์โบแบบแปรผันที่มีประสิทธิภาพ ทำให้เครื่องยนต์สามารถรีดกำลังออกมาได้ 225 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 56 กก.-ม. เมื่อส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ DSG 7 จังหวะสู่การขับเคลื่อนแบบควอตโตร 4 ตลอดเวลาแล้ว มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงต่ำกว่า 7 วินาที และความเร็วสูงสุดเฉียด 260 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยที่มีความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงในระดับ 19.4 กิโลเมตรต่อลิตร
รุ่นต้นแบบยังมีการติดตั้งระบบไฮเทคครบครัน เช่น ระบบดับเครื่องยนต์เองเมื่อจอดติดอยู่กับที่ และระบบปั่นพลังงานที่สูญเปล่าที่เกิดขึ้นระหว่างการเบรกหรือถอนคันเร่งมาเป็นกระแสไฟฟ้าเก็บเอาไว้ในแบตเตอรี่เพื่อส่งให้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในตัวรถ รวมถึงระบบช่วงล่างแบบ CDC หรือ continuous damping control โดยระบบจะสั่งปรับระดับความหนืดของโช้กอัพให้สอดคล้องกับสภาพเส้นทาง และลักษณะการขับในขณะนั้น เช่น สั่งให้โช้กอัพแข็งขึ้นเมื่อเข้าโค้งเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวถังเกิดอาการโคลง แถมยังมีการใส่ดิสก์เบรกแบบเซรามิกขนาด 380 มิลลิเมตรที่ด้านหน้า และ 356 มิลลิเมตรที่ด้านหลังมาให้ก้วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการหยุด
เรื่องการผลิตจริงของ A5 สปอร์ตแบ็คมีความเป็นไปได้สูง และข่าวบางกระแสระบุว่ามีคันจริงให้เห็นแน่ก่อนปลายปี 2009 เพียงแต่ว่ายังไม่มีการยืนยันว่าคันจริงสำหรับขายจะมีหน้าตาแตกต่างไปจากนี้มากน้อยแค่ไหน
และนอกจากการเพิ่มทางเลือกใหม่ให้กับ A5 แล้ว ออดี้ยังเตรียมรุกตลาดสปอร์ตระดับหรูเพื่อชนกับเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอลเอส ด้วยการคลอดเวอร์ชัน 4 ประตูมาดสปอร์ตในรหัสใหม่อย่าง A7 ตามออกมา และจะอิงรายละเอียดงานออกแบบของตัวรถจากรุ่นสปอร์ตแบ็คคันนี้ด้วยเช่นกัน
ชื่อสปอร์ตแบ็คถูกนำมาใช้ครั้งแรกปี 2004 กับรถยนต์สายพันธุ์ A3 แบบ 5 ประตูที่ขายอยู่ในปัจจุบัน เพื่อสื่อให้เห็นถึงความสปอร์ตและปราดเปรียวบนตัวถังแบบแฮทช์แบ็ก ซึ่งจากนิยามนี้ ออดี้นำมาต่อยอดในการสร้างสรรค์ความสวยและโฉบเฉี่ยวรูปแบบใหม่ในสไตล์ฟาสต์แบ็กแบบ 4 ประตู ที่มีการออกแบบตัวถังด้านท้ายให้ลาดเท และประตูบานหลังซึ่งออกแบบให้มีลักษณะแคบจนดูคล้ายกับรถสปอร์ตคูเป้
ตัวรถได้รับการพัฒนาบนพื้นฐานเดียวกับ A5 คูเป้ แต่มีการขยายเรือนร่างให้ใหญ่ขึ้น ด้วยมิติตัวถังที่มีความยาวในระดับ 4,950 มิลลิเมตร กว้าง 1,930 มิลลิเมตร สูง 1,400 มิลลิเมตร พร้อมความเพรียวลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านทานหรือ Cd เพียง 0.30 และเสริมความหล่อด้วยล้อแม็กขนาด 21 นิ้ว ขณะที่ด้านท้ายให้ความอเนกประสงค์ด้วยพื้นที่ใช้สอยที่มีความจุถึง 500 ลิตรตามมาตรฐานของ VDA
เมื่อออดี้ต้องการโปรโมทความยอดเยี่ยมของเครื่องยนต์ดีเซลในตลาดสหรัฐอเมริกา ในรุ่นต้นแบบของสปอร์ตแบ็คจึงไม่พลาดที่จะนำขุมพลังเทอร์โบดีเซลรุ่นดังมาวางอยู่ใต้ฝากระโปรง ซึ่งขุมพลังวี6 3,000 ซีซี TDi ได้รับการพัฒนาให้สามารถลดระดับมลพิษในไอเสียด้วยการนำเทคโนโลยีที่เรียกว่า AdBlue เข้ามาใช้ด้วยการฉีดสารพิเศษเข้าไปในท่อไอเสียเพื่อลดระดับของก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ ซึ่งเมื่อทำงานร่วมกับระบบบำบัดไอเสียแบบ DeNOx แล้ว ทำให้ก๊าซตัวนี้ลดลงจากเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลปกติถึง 90% และมีระดับมลพิษต่ำ สามารถผ่านระดับมาตรฐานไอเสีย EURO 6 ที่จะเริ่มใช้ในยุโรปช่วงปี 2014 ได้
นอกจากนั้นในส่วนของระบบอื่นๆ ยังมีการติดตั้งหัวฉีดคอมมอนเรลแบบ Piezo รุ่นใหม่ ทำงานร่วมกับเทอร์โบแบบแปรผันที่มีประสิทธิภาพ ทำให้เครื่องยนต์สามารถรีดกำลังออกมาได้ 225 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 56 กก.-ม. เมื่อส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ DSG 7 จังหวะสู่การขับเคลื่อนแบบควอตโตร 4 ตลอดเวลาแล้ว มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงต่ำกว่า 7 วินาที และความเร็วสูงสุดเฉียด 260 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยที่มีความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงในระดับ 19.4 กิโลเมตรต่อลิตร
รุ่นต้นแบบยังมีการติดตั้งระบบไฮเทคครบครัน เช่น ระบบดับเครื่องยนต์เองเมื่อจอดติดอยู่กับที่ และระบบปั่นพลังงานที่สูญเปล่าที่เกิดขึ้นระหว่างการเบรกหรือถอนคันเร่งมาเป็นกระแสไฟฟ้าเก็บเอาไว้ในแบตเตอรี่เพื่อส่งให้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในตัวรถ รวมถึงระบบช่วงล่างแบบ CDC หรือ continuous damping control โดยระบบจะสั่งปรับระดับความหนืดของโช้กอัพให้สอดคล้องกับสภาพเส้นทาง และลักษณะการขับในขณะนั้น เช่น สั่งให้โช้กอัพแข็งขึ้นเมื่อเข้าโค้งเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวถังเกิดอาการโคลง แถมยังมีการใส่ดิสก์เบรกแบบเซรามิกขนาด 380 มิลลิเมตรที่ด้านหน้า และ 356 มิลลิเมตรที่ด้านหลังมาให้ก้วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการหยุด
เรื่องการผลิตจริงของ A5 สปอร์ตแบ็คมีความเป็นไปได้สูง และข่าวบางกระแสระบุว่ามีคันจริงให้เห็นแน่ก่อนปลายปี 2009 เพียงแต่ว่ายังไม่มีการยืนยันว่าคันจริงสำหรับขายจะมีหน้าตาแตกต่างไปจากนี้มากน้อยแค่ไหน
และนอกจากการเพิ่มทางเลือกใหม่ให้กับ A5 แล้ว ออดี้ยังเตรียมรุกตลาดสปอร์ตระดับหรูเพื่อชนกับเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอลเอส ด้วยการคลอดเวอร์ชัน 4 ประตูมาดสปอร์ตในรหัสใหม่อย่าง A7 ตามออกมา และจะอิงรายละเอียดงานออกแบบของตัวรถจากรุ่นสปอร์ตแบ็คคันนี้ด้วยเช่นกัน