xs
xsm
sm
md
lg

Mercedes-Benz E-Class : ถึงเวลาของความหรูจากแดนเบียร์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ตกเป็นข่าวอยู่ในอินเตอร์เนตอยู่พักใหญ่หลังจากที่ภาพคันจริงหลุดออกมาให้คนทั่วไปได้ยลโฉม ในที่สุดทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ก็จัดการเปิดตัวโฉมใหม่ ซึ่งเป็นโมเดลเชนจ์ของรถยนต์หรูระดับกลางรุ่นยอดนิยมอย่างอี-คลาสออกมาแล้ว และมาพร้อมกันทั้งเวอร์ชันปกติ และตัวแต่งแบบสปอร์ตที่มีคำว่า AMG ต่อท้ายชื่อรุ่น เพียงแต่ว่ายังไม่ใช่ตัวแรงแบบเต็มขั้น เป็นแค่การเสริมหล่อด้วยชุดแต่งรอบคัน

อี-คลาสถือเป็นรถยนต์ระดับหรูขนาดกลางของค่ายดาว 3 แฉกที่ทำตลาดมานานนับจากรหัส W120 ในปี 1953 แต่การนำอักษร E มาใช้ประกอบกับชื่อรุ่นเพิ่งจะมาปรากฏชัดในปี 1984 กับรหัสตัวถัง W124 ส่วนการถือกำเนิดของอี-คลาสที่มี E นำหน้าอย่างเป็นทางการเริ่มขึ้นพร้อมกับการปฏิวัติรูปโฉมด้วยรุ่น New-Eye ซึ่งใช้รหัส W210 และถือว่าทำให้สายพันธุ์อี-คลาสได้รับความนิยมอย่างมากทั่วโลกด้วยรูปลักษณ์ที่หรูและภูมิฐาน และตามด้วยเจนเนอเรชันต่อมาในรหัส W211 ซึ่งเปิดตัวปี 2003

รุ่นใหม่จะใช้รหัสตัวถังว่า W212 และแน่นอนว่านอกจากรุ่นซีดานแล้วยังจะมีสเตชันแวกอนตามออก มาขายเคียงคู่กันด้วย โดยคอนเซ็ปต์ของงานออกแบบยังยึดสไตล์รูปลักษณ์ด้านหน้าแบบไฟดวงคู่อย่างละฝั่ง แต่เปลี่ยนจากแบบดวงกลมหรือดวงรีใน 2 รุ่นที่แล้วมาเป็นแบบทรงเหลี่ยมด้านไม่เท่าที่เรียกว่า Rhomboid Headlamps ซึ่งเคยปรากฏอยู่ในต้นแบบรุ่น Concept Fascination ที่เปิดตัวในปารีส มอเตอร์โชว์ 2008 โดยตัวถังทรง 4 ประตูได้รับการออกแบบให้มีความปราดเปรียวและเพรียวลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน-Cd 0.25 เท่านั้น


อัดแน่นด้วยระบบความปลอดภัยเต็มพิกัดมาทั้งในรูปแบบอุปกรณ์มาตรฐานและออพชั่นที่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม เช่น ระบบไฟสูงแบบ Adaptive High Beam Assist ซึ่งจะใช้กล้องด้านหน้าซึ่งอยู่บนกระจกบังลมหน้าในการบันทึกภาพของสภาพการจราจรด้านหน้า และปรับเปลี่ยนลักษณะการส่องสว่างของไฟไปตามสภาพการจราจรเพื่อป้องกันไม่ให้แสงรบกวนรถยนต์คันอื่น และสามารถปรับระยะการส่องสว่างของไฟหน้าในระยะปกติ 65 เมตรมาเป็นสูงสุด 300 เมตรได้

ตามด้วยระบบ Blind Spot Assist และ Lane Keeping Assist ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุในจังหวะที่เปลี่ยนช่องทางการจราจร เพราะมุมอับทำให้มองไม่เห็น และ Night View System ที่ติดตั้งในเอส-คลาสก็ถูกนำมาใช้ในอี-คลาสรุ่นนี้ รวมถึงระบบฝากระโปรงหน้าแบบดีดตัวขึ้นเมื่อชนคนเดินถนน และระบบ Attention Assist ซึ่งเป็นการแจ้งเตือนในกรณีที่ผู้ขับเริ่มมีอาการหลับใน


หลากหลายของทางเลือกเครื่องยนต์ ในรุ่นเบนซินมากับรหัส E200CGI และ E250CGI ที่มากับเครื่องยนต์ 4 สูบรุ่นใหม่แบบไดเร็กต์อินเจ็กชัน ที่มีความจุเพียง 1,800 ซีซี แต่ใช้เทอร์โบพร้อมระบบวาล์วแปรผันทั้งฝั่งไอดีและไอเสียในการช่วยเพิ่มสมรรถนะ โดยในรุ่นแรกมีกำลังอยู่ที่ 184 แรงม้า และขยับขึ้นมาเป็น 204 แรงม้า และ 31.6 กก.-ม. สำหรับรุ่นหลัง

ในรุ่นเครื่องยนต์วี6 มากับรหัส E350CGI ที่มีกำลังสูงสุด 292 แรงม้า และรุ่นสูงสุดในตอนนี้เป็นรหัส E500 กับเครื่องยนต์วี8 โดยที่ตัวแรงในรหัส E63AMG ที่มีกำลังสูงสุด 525 แรงม้ายังไม่มาในตอนนี้ แต่อุ่นเครื่องกันไปก่อนด้วยรุ่นตกแต่งพิเศษที่เรียกว่า AMG Sport Package โดยที่รุ่นเครื่องยนต์วี6 และวี8 จะจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะที่เรียกว่า 7G-Tronic


นอกจากนั้นในรุ่นเบนซินยังมีทางเลือกของความประหยัดน้ำมันด้วยเวอร์ชัน BlueEFFICIENCY ซึ่งจะมีการติดตั้งอุปกรณ์หลากหลายเพื่อลดแรงต้านของตัวถัง เช่น ลดความสูงของตัวถังลงจากรุ่นปกติ 17% ใช้ยางแบบประหยัดน้ำมันที่มีการต้านแรงหมุนต่ำ การติดตั้งอุปกรณ์ Eco Start/Stop สำหรับหยุดเมื่อจอดติดอยู่กับที่เหมือนกับรถยนต์ไฮบริดเพื่อช่วยลดความสิ้นเปลืองน้ำมัน ผลคือทำให้มีความประหยัดน้ำมันดีขึ้นจากรุ่นปกติประมาณ 1.2 กิโลเมตรต่อลิตร และจะเริ่มวางขายในยุโรปประมาณปลายปีนี้

ส่วนในรุ่นเทอร์โบดีเซลเริ่มต้นกับรหัส E200CDI และ E220CDI เครื่องยนต์ 4 สูบ 2,000 ซีซี 136 และ 170 แรงม้า ส่วนรุ่น E250CDI เป็นแบบ 4 สูบ 2,143 ซีซีแต่เป็นบล็อกใหม่ล่าสุดแบบเทอร์โบคู่ รีดกำลังออกมาได้ 204 แรงม้า และแรงบิดมากถึง 51 กก.-ม. ส่วนอีกรุ่นเป็น E350CDI แบบวี6 ที่มีกำลังสูงสุด 231 แรงม้า

ตอบสนองความนุ่นมนวลโดยเฉพาะการเดินทางไกลด้วยชุดช่วงล่างที่พ่วงระบบปรับความหนืดของโชกอัพแบบอัตโนมัติตามสภาพเส้นทาง และในรุ่นวี6 กับวี8 มีระบบช่วงล่างแบบ Airmatic เป็นอุปกรณ์เลือกติดตั้งพิเศษสำหรับคนที่ต้องการความสบายเหนือระดับ

ในยุโรปจะเริ่มทำตลาดด้วยรุ่นพวงมาลัยซ้ายช่วงเดือนมีนาคมนี้ ส่วนตลาดพวงมาลัยขวาในอังกฤษจะเริ่มวางขายเดือนมิถุนายน โดยที่ยังไม่มีการเปิดเผยราคาออกมาในตอนนี้


กำลังโหลดความคิดเห็น