ตลอดปี 2008 ที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์ทั่วโลกมีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาด้วยทางเลือกใหม่ๆ ที่ถูกเปิดตัวออกมา แม้ว่านับจากช่วงต้นปีเป็นต้นมาราคาน้ำมันจะทะยานสูงขึ้นแบบติดจรวด ก่อนที่จะโดนกระหน่ำซ้ำอีกระลอกด้วยเศรษฐกิจเป็นพิษ
ทั้งต้นแบบและรถยนต์ในสายการ ถ้าให้ลองไล่นับดูเห็นทีจะเหนื่อย ASTVผู้จัดการออนไลน์เลยถือโอกาสสรุป และจัด10 รถเด่นของการเปิดตัวในปี 2008
1.Bugatti Veyron Gran Sport : ท้าสายลมพันแรงม้ากับราคา 7 หลัก
ฮือฮาเอาเรื่องเมื่อบูกัตตี้ บริษัทในเครือโฟล์คสวาเกน เผยทางเลือกที่ 2 ของเวย์รอน สุดยอดซูเปอร์คาร์หรูที่มีเรี่ยวแรงในระดับ 1,000 แรงม้าออกมา และยิ่งฮืฮฮามากขึ้นไปอีก เมื่อเวย์รอน เปิดประทุน หรือที่ใช้ชื่อว่า GS-Grand Sport คันแรกของไลน์ผลิต ซึ่งมีหมายเลขตัวถัง #01 ถูกประมูลออกไปด้วยราคากว่า 3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกว่า 105 ล้านบาท
สปอร์ตรุ่นนี้เปิดตัวครั้งแรกในงานประกวดรถยนต์โบราณที่เพบเบิลบีช Concurs d’Elegance ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และมีการจัดประมูลดึงเงินออกจากบัญชีของนักสะสมรถยนต์ ซึ่งราคาเริ่มต้นกันที่ 1.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 59.5 ล้านบาท หรือแพงกว่าค่าตัวของ GS ที่จะเริ่มขายจริงในเดือนมีนาคม 2009 นิดหน่อย ก่อนจะไปจบลงที่ 3.19 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 111 ล้านบาท (ราคารวมค่าธรรมเนียมการประมูล 10%)
การพัฒนามีขึ้นบนพื้นฐานของรุ่นคูเป้ที่ทำตลาดมาตั้งแต่ปี 2005 รวมถึงใช้เครื่องยนต์ W16 ทวินแคม 8,000 ซีซีที่ เทอร์โบ 4 ตัวที่มีกำลังสูงสุด 1,001 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 127.5 กก.-ม. ที่ 2,200-5,500 รอบ/นาทีในการขับเคลื่อน แต่ที่ต่างออกไปคือ แผ่นหลังคาแข็งซึ่งสามารถถอดออกได้
เมื่อใส่หลังคาตามปกติ ตัวรถจะแล่นทำความเร็วได้ 407 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่เมื่อถอดหลังคาออก ตัวเลขจะลดลงมาอยู่ที่ 360 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงต่ำกว่า 2.4 วินาที
2.Lamborghini Estoque : กระทิงเปลี่ยวริรถทำ 4 ประตู
หลังจากที่ออดี้เข้าเทคโอเวอร์กิจการในปี 1998 มุมมองในเชิงการตลาดของลัมบอร์กินีถูกปรับเปลี่ยนอย่างมาก เพื่อก้าวย่างที่ปลอดภัยในตลาด เพราะบทเรียนที่ผ่านมานับจากถูกขายจากไครสเลอร์มาอยู่ในมือของนักธุรกิจจากเอเชียก่อนที่จะล้มหายตายจากเพราะโรคต้มยำกุ้ง คือ สิ่งที่ลัมบอร์กินีไม่อยากจะเป็นเช่นนั้นอีก
การที่จะได้เห็นรถสปอร์ตเพียงรุ่นเดียววางขายบนโชว์รูมเหมือนกับเมื่อก่อนไม่มีอีกต่อไปแล้ว และหลังจากเต็มที่กับตลาดสปอร์ตแล้ว คราวนี้ค่ายกระทิงดุก็เริ่มหันมามองตลาดรถยนต์ 4 ประตูมาดสปอร์ตกันบ้าง และ Estoque ที่ถูกเปิดตัวในปารีส มอเตอร์โชว์ 2008 คือ ต้นแบบเริ่มแรกของโปรเจ็กต์นี้ ก่อนที่จะกลายเป็นของจริงในปลายปีหน้า
ตัวรถมีความยาว 5,150 มิลลิเมตร และสูงเพียง 1,350 มิลลิเมตร ได้รับการพัฒนาบนเลย์เอาท์ของเครื่องยนต์วางด้านหน้าแบบ Front Mid-Engine ดันเครื่องยนต์ให้อยู่พลังเพลาด้านหน้าและถอยหลังที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อกประโยชน์ในเรื่องของการกระจายน้ำหนักซึ่งมีความสมดุลในแบบด้านหน้าและหลัง 50-50% อีกทั้งยังเน้นในเรื่องความสบายในการขับและสามารถใช้งานได้ทุกวัน
แน่นอนว่าคู่ปรับของ Estoque คือ บรรดารถยนต์ 4 ประตูที่เกิดจากแบรนด์รถสปอร์ตอย่างพอร์ช พานาเมอรา และแอสตัน มาร์ติน ราปิดที่จะเปิดตัวในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ส่วนหน้าตาที่เห็นอยู่แม้จะดูสปอร์ตเต็มพิกัด แต่ก็ให้ความสะดวกสบายและกว้างขวางในการใช้งาน เพราะระยะฐานล้อของตัวรถมีความยาวถึง 3,010 มิลลิเมตรเลยทีเดียว
ในเรื่องรายละเอียดของเครื่องยนต์ เท่าที่มีการเปิดเผยออกมา ในตัวต้นแบบมากับเบนซินวี10 ที่พัฒนาบนพื้นฐานเดียวกับที่ใช้อยู่ในรุ่น Gallardo LP560-4 และเมื่อต้องทำตลาดจริง น่าจะมีทางเลือกใหม่ๆ และแปลกๆ ตามออกมาด้วย เช่น เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล หรือระบบไฮบริด
3.Toyota iQ : จิ๋วแจ๋วเพื่อคนเมือง
โตโยต้าใช้เวลาเพียง 1 ปีนับจากเปิดตัวรุ่นต้นแบบในงานแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ในการสานโปรเจ็กต์ 3-Metre Car ให้กลายมาเป็นความจริง พร้อมกับสร้างความฮือฮาได้ไม่น้อยด้วยตัวถังขนาดจิ๋วแต่มีความอเนกประสงค์ในการใช้งาน เพราะรองรับการบรรทุกผู้ขับและผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่ได้ถึง 4 คนแบบสบายๆ หรือจะเลือกปรับและพับเบาะได้หลากหลายรูปแบบของการใช้งาน
อีกทั้งยังเต็มพิกัดความปลอดภัยด้วยถุงลมนิรภัยรอบคันรวมถึงแบบใหม่ล่าสุดอย่าง REAR WINDOW CURTAIN SHIELD AIRBAG ซึ่งถือเป็นถุงลมนิรภัยแบบ SRS หรือ Supplemental Restraint System รุ่นแรกของโลกที่มีการพองตัวขึ้นมาเพื่อป้องกันศีรษะของผู้โดยสารที่นั่งอยู่บนเบาะหลังจากการกระแทกเมื่อรถยนต์ที่นั่งอยู่ถูกชนทางด้านท้าย
ในญี่ปุ่นเป็นตลาดแห่งแรกที่ได้สัมผัสกับ iQ ส่วนในยุโรปจะเริ่มขายในต้นปี 2009 ซึ่งหลังจากเปิดตัวในบ้านตัวเองไม่นาน iQ ก็ได้รับเลือกให้คว้ารางวัล Car of the year หรือ COTY ของญี่ปุ่นทันที
เครื่องยนต์ของ iQ ที่ขายในญี่ปุ่นมากับรหัส 1KR-FE แบบ 3 สูบ ทวินแคม 12 วาล์ว 1,000 ซีซี VVT-I 68 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 9.3 กก.-ม. ที่ 4,800 รอบต่อนาที ซึ่งในญี่ปุ่นมีขายเฉพาะเกียร์ CVT ส่วนยุโรปมีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และ CVT
4.BMW 7 Series : เปิดศึกตลาดหรูระลอกใหม่
โมเดลเชนจ์ครั้งล่าสุดที่จะเข้ามาทำตลาดแทนที่รุ่นปัจจุบันในรหัส E65/E66 ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2002 โดยซีรีส์ 7 รุ่นใหม่แม้ว่าจะมีหน้าตาและรูปลักษณ์ภายนอกที่หลายคนบอกว่าดูผ่านๆ แล้วไม่เห็นต่างจากรุ่นเดิม แต่ความจริงแล้วนี่คือของใหม่ทั้งคัน และมากับรหัสตัวถังใหม่ที่ใช้ตัว F แทนที่ตัว E อย่างที่เราคุ้นเคยกัน
ซีรีส์ 7 ใหม่จะมากับรหัส F01/02 ในรุ่นฐานล้อปกติและฐานล้อยาว ซึ่งรูปลักษณ์ภายนอกได้รับการออกแบบโดยอิงอิทธิพลมาจากต้นแบบรุ่น Concept CS ที่เปิดตัวในปี 2007 รุ่นฐานล้อปกติมีความยาว 5,072 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 3,070 มิลลิเมตร ส่วนรุ่นฐานล้อยาวที่มีคำว่า L ต่อท้ายรหัสรุ่นมีความยาว 5,212 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 3,210 มิลลิเมตร
เครื่องยนต์ที่ทำตลาดในช่วงแรกมีทั้งเบนซินและเทอร์โบดีเซล เริ่มจาก 740i และ 740Li เครื่องยนต์ 6 สูบเรียง ทวินแคม 3,000 ซีซี เทอร์โบคู่ 326 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 45.8 กก.-ม. ที่ 1,500-4,500 รอบ/นาที
ตามด้วย 750i และ 750Li เครื่องยนต์เบนซินวี8 ทวินแคม 32 วาล์ว 4,400 ซีซี พร้อมเทอร์โบ 407 แรงม้า ที่ 5,500-6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 61.1 กก.-ม. ที่ 1,750-4,500 รอบ/นาที และเทอร์โบดีเซล 730d บล็อก 6 สูบเรียง ทวินแคม 24 วาล์ว 3,000 ซีซี 245 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 55.0 กก.-ม. ที่ 1,750-3,000 รอบ/นาที
5.Honda Insight : การกลับมาของความประหยัด
ชื่อของอินไซท์กลับมามีบทบาทอีกครั้งในตลาดรถยนต์โลกหลังจากที่ยุติการผลิตไปในปี 2006 ซึ่งทั้งหมดเป็นไปตามความต้องการของฮอนด้าที่พุ่งเป้าการเจาะตลาดรถยนต์ในยุคหน้าด้วยหลากหลายควาามประหยัดของรถยนต์ไฮบริดซึ่งเน้นตัวถังขนาดเล็กทั้งแบบแฮทช์แบ็ก และสปอร์ต 2 ประตู
ตัวต้นแบบของอินไซท์ถูกเปิดตัวในปารีส มอเตอร์โชว์ 2008 เดือนตุลาคมและหลังจากนั้นไม่นาน ฮอนด้าก็นำภาพของรุ่นจำหน่ายจริงออกมาเผยแพร่ตามอินเตอร์เนต และจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ เดือนมกราคม 2009 พร้อมกับคู่ปรับตัวฉกาจอย่างโตโยต้า พริอุสใหม่
รายละเอียดของตัวรถยังไม่มีการเผยออกมา แต่เชื่อว่าฮอนด้ายังเดินหน้าในการพัฒนาระบบไฮบริดของตัวเองในชื่อ IMA หรือ Integrated Motor Assisted และฮอนด้าตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะมียอดขายทั่วโลกในปีแรกของการทำตลาดอยู่ที่ 200,000 คัน โดยครึ่งหนึ่งอยู่ในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของรถยนต์ไฮบริด และแคนาดา โดยไลน์ผลิตจะอยู่ที่โรงงานที่ซึซึกะ ประเทศญี่ปุ่น
ทั้งต้นแบบและรถยนต์ในสายการ ถ้าให้ลองไล่นับดูเห็นทีจะเหนื่อย ASTVผู้จัดการออนไลน์เลยถือโอกาสสรุป และจัด10 รถเด่นของการเปิดตัวในปี 2008
1.Bugatti Veyron Gran Sport : ท้าสายลมพันแรงม้ากับราคา 7 หลัก
ฮือฮาเอาเรื่องเมื่อบูกัตตี้ บริษัทในเครือโฟล์คสวาเกน เผยทางเลือกที่ 2 ของเวย์รอน สุดยอดซูเปอร์คาร์หรูที่มีเรี่ยวแรงในระดับ 1,000 แรงม้าออกมา และยิ่งฮืฮฮามากขึ้นไปอีก เมื่อเวย์รอน เปิดประทุน หรือที่ใช้ชื่อว่า GS-Grand Sport คันแรกของไลน์ผลิต ซึ่งมีหมายเลขตัวถัง #01 ถูกประมูลออกไปด้วยราคากว่า 3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกว่า 105 ล้านบาท
สปอร์ตรุ่นนี้เปิดตัวครั้งแรกในงานประกวดรถยนต์โบราณที่เพบเบิลบีช Concurs d’Elegance ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และมีการจัดประมูลดึงเงินออกจากบัญชีของนักสะสมรถยนต์ ซึ่งราคาเริ่มต้นกันที่ 1.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 59.5 ล้านบาท หรือแพงกว่าค่าตัวของ GS ที่จะเริ่มขายจริงในเดือนมีนาคม 2009 นิดหน่อย ก่อนจะไปจบลงที่ 3.19 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 111 ล้านบาท (ราคารวมค่าธรรมเนียมการประมูล 10%)
การพัฒนามีขึ้นบนพื้นฐานของรุ่นคูเป้ที่ทำตลาดมาตั้งแต่ปี 2005 รวมถึงใช้เครื่องยนต์ W16 ทวินแคม 8,000 ซีซีที่ เทอร์โบ 4 ตัวที่มีกำลังสูงสุด 1,001 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 127.5 กก.-ม. ที่ 2,200-5,500 รอบ/นาทีในการขับเคลื่อน แต่ที่ต่างออกไปคือ แผ่นหลังคาแข็งซึ่งสามารถถอดออกได้
เมื่อใส่หลังคาตามปกติ ตัวรถจะแล่นทำความเร็วได้ 407 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่เมื่อถอดหลังคาออก ตัวเลขจะลดลงมาอยู่ที่ 360 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงต่ำกว่า 2.4 วินาที
2.Lamborghini Estoque : กระทิงเปลี่ยวริรถทำ 4 ประตู
หลังจากที่ออดี้เข้าเทคโอเวอร์กิจการในปี 1998 มุมมองในเชิงการตลาดของลัมบอร์กินีถูกปรับเปลี่ยนอย่างมาก เพื่อก้าวย่างที่ปลอดภัยในตลาด เพราะบทเรียนที่ผ่านมานับจากถูกขายจากไครสเลอร์มาอยู่ในมือของนักธุรกิจจากเอเชียก่อนที่จะล้มหายตายจากเพราะโรคต้มยำกุ้ง คือ สิ่งที่ลัมบอร์กินีไม่อยากจะเป็นเช่นนั้นอีก
การที่จะได้เห็นรถสปอร์ตเพียงรุ่นเดียววางขายบนโชว์รูมเหมือนกับเมื่อก่อนไม่มีอีกต่อไปแล้ว และหลังจากเต็มที่กับตลาดสปอร์ตแล้ว คราวนี้ค่ายกระทิงดุก็เริ่มหันมามองตลาดรถยนต์ 4 ประตูมาดสปอร์ตกันบ้าง และ Estoque ที่ถูกเปิดตัวในปารีส มอเตอร์โชว์ 2008 คือ ต้นแบบเริ่มแรกของโปรเจ็กต์นี้ ก่อนที่จะกลายเป็นของจริงในปลายปีหน้า
ตัวรถมีความยาว 5,150 มิลลิเมตร และสูงเพียง 1,350 มิลลิเมตร ได้รับการพัฒนาบนเลย์เอาท์ของเครื่องยนต์วางด้านหน้าแบบ Front Mid-Engine ดันเครื่องยนต์ให้อยู่พลังเพลาด้านหน้าและถอยหลังที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อกประโยชน์ในเรื่องของการกระจายน้ำหนักซึ่งมีความสมดุลในแบบด้านหน้าและหลัง 50-50% อีกทั้งยังเน้นในเรื่องความสบายในการขับและสามารถใช้งานได้ทุกวัน
แน่นอนว่าคู่ปรับของ Estoque คือ บรรดารถยนต์ 4 ประตูที่เกิดจากแบรนด์รถสปอร์ตอย่างพอร์ช พานาเมอรา และแอสตัน มาร์ติน ราปิดที่จะเปิดตัวในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ส่วนหน้าตาที่เห็นอยู่แม้จะดูสปอร์ตเต็มพิกัด แต่ก็ให้ความสะดวกสบายและกว้างขวางในการใช้งาน เพราะระยะฐานล้อของตัวรถมีความยาวถึง 3,010 มิลลิเมตรเลยทีเดียว
ในเรื่องรายละเอียดของเครื่องยนต์ เท่าที่มีการเปิดเผยออกมา ในตัวต้นแบบมากับเบนซินวี10 ที่พัฒนาบนพื้นฐานเดียวกับที่ใช้อยู่ในรุ่น Gallardo LP560-4 และเมื่อต้องทำตลาดจริง น่าจะมีทางเลือกใหม่ๆ และแปลกๆ ตามออกมาด้วย เช่น เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล หรือระบบไฮบริด
3.Toyota iQ : จิ๋วแจ๋วเพื่อคนเมือง
โตโยต้าใช้เวลาเพียง 1 ปีนับจากเปิดตัวรุ่นต้นแบบในงานแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ในการสานโปรเจ็กต์ 3-Metre Car ให้กลายมาเป็นความจริง พร้อมกับสร้างความฮือฮาได้ไม่น้อยด้วยตัวถังขนาดจิ๋วแต่มีความอเนกประสงค์ในการใช้งาน เพราะรองรับการบรรทุกผู้ขับและผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่ได้ถึง 4 คนแบบสบายๆ หรือจะเลือกปรับและพับเบาะได้หลากหลายรูปแบบของการใช้งาน
อีกทั้งยังเต็มพิกัดความปลอดภัยด้วยถุงลมนิรภัยรอบคันรวมถึงแบบใหม่ล่าสุดอย่าง REAR WINDOW CURTAIN SHIELD AIRBAG ซึ่งถือเป็นถุงลมนิรภัยแบบ SRS หรือ Supplemental Restraint System รุ่นแรกของโลกที่มีการพองตัวขึ้นมาเพื่อป้องกันศีรษะของผู้โดยสารที่นั่งอยู่บนเบาะหลังจากการกระแทกเมื่อรถยนต์ที่นั่งอยู่ถูกชนทางด้านท้าย
ในญี่ปุ่นเป็นตลาดแห่งแรกที่ได้สัมผัสกับ iQ ส่วนในยุโรปจะเริ่มขายในต้นปี 2009 ซึ่งหลังจากเปิดตัวในบ้านตัวเองไม่นาน iQ ก็ได้รับเลือกให้คว้ารางวัล Car of the year หรือ COTY ของญี่ปุ่นทันที
เครื่องยนต์ของ iQ ที่ขายในญี่ปุ่นมากับรหัส 1KR-FE แบบ 3 สูบ ทวินแคม 12 วาล์ว 1,000 ซีซี VVT-I 68 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 9.3 กก.-ม. ที่ 4,800 รอบต่อนาที ซึ่งในญี่ปุ่นมีขายเฉพาะเกียร์ CVT ส่วนยุโรปมีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และ CVT
4.BMW 7 Series : เปิดศึกตลาดหรูระลอกใหม่
โมเดลเชนจ์ครั้งล่าสุดที่จะเข้ามาทำตลาดแทนที่รุ่นปัจจุบันในรหัส E65/E66 ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2002 โดยซีรีส์ 7 รุ่นใหม่แม้ว่าจะมีหน้าตาและรูปลักษณ์ภายนอกที่หลายคนบอกว่าดูผ่านๆ แล้วไม่เห็นต่างจากรุ่นเดิม แต่ความจริงแล้วนี่คือของใหม่ทั้งคัน และมากับรหัสตัวถังใหม่ที่ใช้ตัว F แทนที่ตัว E อย่างที่เราคุ้นเคยกัน
ซีรีส์ 7 ใหม่จะมากับรหัส F01/02 ในรุ่นฐานล้อปกติและฐานล้อยาว ซึ่งรูปลักษณ์ภายนอกได้รับการออกแบบโดยอิงอิทธิพลมาจากต้นแบบรุ่น Concept CS ที่เปิดตัวในปี 2007 รุ่นฐานล้อปกติมีความยาว 5,072 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 3,070 มิลลิเมตร ส่วนรุ่นฐานล้อยาวที่มีคำว่า L ต่อท้ายรหัสรุ่นมีความยาว 5,212 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 3,210 มิลลิเมตร
เครื่องยนต์ที่ทำตลาดในช่วงแรกมีทั้งเบนซินและเทอร์โบดีเซล เริ่มจาก 740i และ 740Li เครื่องยนต์ 6 สูบเรียง ทวินแคม 3,000 ซีซี เทอร์โบคู่ 326 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 45.8 กก.-ม. ที่ 1,500-4,500 รอบ/นาที
ตามด้วย 750i และ 750Li เครื่องยนต์เบนซินวี8 ทวินแคม 32 วาล์ว 4,400 ซีซี พร้อมเทอร์โบ 407 แรงม้า ที่ 5,500-6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 61.1 กก.-ม. ที่ 1,750-4,500 รอบ/นาที และเทอร์โบดีเซล 730d บล็อก 6 สูบเรียง ทวินแคม 24 วาล์ว 3,000 ซีซี 245 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 55.0 กก.-ม. ที่ 1,750-3,000 รอบ/นาที
5.Honda Insight : การกลับมาของความประหยัด
ชื่อของอินไซท์กลับมามีบทบาทอีกครั้งในตลาดรถยนต์โลกหลังจากที่ยุติการผลิตไปในปี 2006 ซึ่งทั้งหมดเป็นไปตามความต้องการของฮอนด้าที่พุ่งเป้าการเจาะตลาดรถยนต์ในยุคหน้าด้วยหลากหลายควาามประหยัดของรถยนต์ไฮบริดซึ่งเน้นตัวถังขนาดเล็กทั้งแบบแฮทช์แบ็ก และสปอร์ต 2 ประตู
ตัวต้นแบบของอินไซท์ถูกเปิดตัวในปารีส มอเตอร์โชว์ 2008 เดือนตุลาคมและหลังจากนั้นไม่นาน ฮอนด้าก็นำภาพของรุ่นจำหน่ายจริงออกมาเผยแพร่ตามอินเตอร์เนต และจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ เดือนมกราคม 2009 พร้อมกับคู่ปรับตัวฉกาจอย่างโตโยต้า พริอุสใหม่
รายละเอียดของตัวรถยังไม่มีการเผยออกมา แต่เชื่อว่าฮอนด้ายังเดินหน้าในการพัฒนาระบบไฮบริดของตัวเองในชื่อ IMA หรือ Integrated Motor Assisted และฮอนด้าตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะมียอดขายทั่วโลกในปีแรกของการทำตลาดอยู่ที่ 200,000 คัน โดยครึ่งหนึ่งอยู่ในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของรถยนต์ไฮบริด และแคนาดา โดยไลน์ผลิตจะอยู่ที่โรงงานที่ซึซึกะ ประเทศญี่ปุ่น