แทบจะกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของบรรดาค่ายรถไปแล้ว ทุกครั้งหลังการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ไม่ว่าจะเป็นแบบใหม่หมดจด หรือไมเนอร์เชนจ์ ก็จะมีการจัดทริปให้กับสื่อมวลชนได้สัมผัสกับความใหม่ของรถ และล่าสุด หลังเปิดตัว “ดีแมคซ์ แพลททินั่ม” ซึ่งเข้ามาแทนที่ โกลด์ ซีรี่ส์ อีซูซุก็จัดทริปท่องเที่ยวโดยเชิญสื่อมวลชนกว่า 30 ชีวิตเข้าร่วมเดินทาง
ซึ่ง “ผู้จัดการมอเตอริ่ง” ก็ได้รับเชิญจากค่ายอีซูซุเข้าร่วมเดินทางท่องเที่ยวครั้งนี้ด้วยเช่นกัน โดยเริ่มต้นจากกรุงเทพฯ จุดหมายปลายทางอยู่ที่ น้ำตก ไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งรถประจำตำแหน่งของเราเป็น อีซูซุ ดีแมคซ์ แพลททินั่ม รุ่น แค็บ4 3.0 VGS LS เกียร์ออโต้ แบบสี่ประตู มีเทอร์โบแปรผัน และจับคู่เดินทางกับ สื่อมวลชนอีกหนึ่งท่านคือ พรหมมินทร์ งามจั่นศรี จากกรุงเทพธุรกิจ
เมื่อเห็นรถคู่ใจประจำทริปแล้ว สิ่งแรกที่ทำคือควานหาสิ่งที่เปลี่ยนไปจากรุ่น โกลด์ ซี่รี่ส์ของเจ้า ดีแมคซ์ แพลททินั่ม นั่นก็คือ กระจังหน้า และโลโก้คำว่า อีซูซุ ทุกตำแหน่งที่เคยเป็นสีทอง เปลี่ยนไปเป็นสีเงินแบบ แพลททินั่ม ส่วนภายในอุปกรณ์ใหม่สุดโดดเด่น ซึ่งยังไม่มีรถปิกอัพคันใดติดตั้งมาให้คือ วิทยุแบบ 2 DIN ของเคนวูด พร้อมกล้องมองหลังที่ตั้งตั้งอยู่ตรงฝาเปิดกระบะท้าย นอกนั้นเหมือนเดิม
เมื่อเริ่มออกเดินทาง เราเป็นผู้ขับก่อน ใช้ความเร็ววิ่งในเมืองไม่มากราว 60-80 กม./ชม. ความรู้สึกแรกคือ เหมือนรถมันเงียบขึ้น พอเข้าถนนบรมราชชนนี ทางเริ่มว่าง เราเติมน้ำหนักการเหยียบคันเร่งเพิ่มเล็กน้อย เจ้าดีแมคซ์ แพลททินั่ม ก็เพิ่มความเร็วขึ้นมาถึงระดับ 100-120 กม./ชม. แบบสบายๆ
เราขับมาถึงจุดแวะแรกคือพระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม ซึ่งอยู่ระหว่างการปรับปรุงซ่อมแซมก่อนจะมีงานในวันขึ้น 12 ค่ำเดือน 12 ขออนุญาตเอ่ยถึงเรื่องราวของสถานที่ศักดิ์สิทธ์แห่งนี้สักนิดหน่อย
องค์พระปฐมเจดีย์ นั้น อยู่ในวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า มีลักษณะเป็น รูประฆังคว่ำ โครงสร้างเป็นไม้ซุง รัดด้วยโซ่เส้นมหึมา ก่ออิฐถือปูนหุ้ม ประดับด้วยกระเบื้องปูทับ มีวิหาร 4 ทิศ และกำแพงแก้ว 2 ชั้น
ส่วนประวัตินั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงมีพระราชวินิจฉัยไว้ว่า พระธมเจดีย์ (ชื่อเดิมก่อนที่พระองค์จะทรงพระราชทานนามใหม่ให้ว่า “พระปฐมเจดีย์”) อาจจะเป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นเมื่อคราวพระสมณทูตในพระเจ้าอโศกมหาราช เดินทางมาเผยแผ่ศาสนายังดินแดนสุวรรณภูมิก็เป็นได้
เนื่องจากพระเจดีย์เดิมมีลักษณะทรงโอคว่ำ หรือทรงมะนาวผ่าซีก แบบเดียวกับพระสถูปสาญจี แต่ปรากฏว่ามียอดเป็นแบบปรางค์ ซึ่งอาจจะมีเจ้านายพระองค์ใดมาบูรณะไว้ ตรงกับความในศิลาจารึกที่ 2 ของ พระมหาเถรศรีศรัทธาฯ
นอกจากนั้นความสำคัญของพระปฐมเจดีย์ ปัจจุบันยังเป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคารของ รัชกาลที่ 6 ตามที่มีพระบรมราชโองการสั่งไว้ในพระราชพินัยกรรม ให้บรรจุที่ฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์ ที่ประดิษฐานอยู่ ณ พระปฐมเจดีย์ รวมถึงพระอังคารของ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีในรัชกาลที่ 6 ก็บรรจุอยู่ด้วยเช่นกัน
หลังจากสักการะพระปฐมเจดีย์เป็นทีเรียบร้อย คราวนี้เราเปลี่ยนมาเป็นคนนั่งบ้าง โดยดีแมคซ์ แพลททินั่ม ยังคงให้ความสบายในการเดินทางเหมือนเช่นเดิม เรามาถึงจุดท่องเที่ยวเก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่อไป ณ แคมป์ช้างวังโพ โดยเป็นครั้งแรกในชีวิตของเราที่ได้นั่งบนหลังช้าง ซึ่งความรู้สึกไม่ต้องเอ่ยอะไรมาก บอกตรงๆ ว่า กลับไปนั่งดีแมคซ์ แพลททินั่ม ดีกว่า
จากนั้นก็ไปล่องแพ ดื่มด่ำกับธรรมชาติและสายน้ำ(สีโคลน) โดยเพื่อนร่วมเดินทางของเรา พรหมมินทร์ ทนความเย้ายวนของธรรมชาติไม่ไหว ต้องกระโดดลงไปเล่นน้ำ พร้อมซักซ้อม สัญญาณมือ เอาไว้ล่วงหน้าเผื่อว่า มีเหตุฉุกเฉินจากแขกไม่ได้รับเชิญ เพราะก่อนลงแพ เจ้าหน้าที่บอกเป็นภาษาอังกฤษว่าให้ระวัง “ค็อกโคได” ด้วยนะ
เมื่อชาร์จพลังเต็มอิ่มกับธรรมชาติเรียบร้อย เราเดินทางกันต่อเพื่อเข้าที่พัก ณ โรงแรมหินตกระเวอร์แคมป์ เห็นชื่อว่าเป็นโรงแรม อย่านึกว่าจะเป็นตึกหรือบ้านเป็นหลังๆ นะครับ เพราะความจริง ห้องพักสร้างขึ้นจากเต้นท์ ผ้าใบ ให้ความรู้สึกแบบแคมป์ปิ้งท่ามกลางธรรมชาติแบบหุบเขาและสายน้ำ ของเมืองกาญจนบุรี
หากมาถึงเมืองกาญจ์แล้ว จะไม่เอ่ยถึง อนุสรณ์สถานช่องเขาขาด ก็ดูกระไรอยู่ ซึ่งอนุสรณ์แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับเชลยศึกและแรงงานชาวเอเชียที่ได้รับความทุกข์ทรมานและเสียชีวิตจากการสร้างทางรถไฟสายมรณะอันเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2
ย้อนรำลึกไปถึงจุดประสงค์ในการสร้างทางรถไฟสายนี้ก็เพื่อ ญี่ปุ่น ต้องการจะไปรุก อินเดีย หลังจากโจมตีเพิร์ล ฮาร์เบอร์ และยึดมาเลเซียเรียบร้อย โดยมีความยาว 415 กม.ผ่านป่าและภูเขาจาก บ้านโป่ง ในประเทศไทยไปยัง ตันบูชายัต ประเทศพม่า
ซึ่งการสร้างใช้แรงงานชายเอเชียประมาณ 250,000 คน และเชลยศึกชาวออสเตรเลีย, อังกฤษ, ฮอลแลนด์ และอเมริกา มากกว่า 60,000 คน ใช้เวลาประมาณ 1 ปีจึงสร้างเสร็จ โดยไม่เครื่องมือทันสมัย ใช้เพียงแต่พลั่ว ชะแลงและกระบุง,กระสอบเพื่อขนย้ายดินหรือหิน ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากการก่อสร้างนับหมื่นคน
และในช่วงเวลาเร่งด่วนของการก่อสร้างเชลยศึกและแรงงานถูกใช้ให้ทำงานจนค่ำ จึงต้องมีการจุดไฟเพื่อให้แสงสว่างและแสงไฟที่มาส่องกระทบร่างคนงานที่ผอมโซ ผ่านทางหุบเขา กลายมาเป็นที่มาของชื่อเรียก “ช่องทางผ่านไฟนรก” (Hellfire Pass) หรือช่องเขาขาดในปัจจุบัน
กลับมาที่เรื่องของการเดินทางกันต่อ ขากลับเราควบดีแมคซ์ แพลททินั่มทะลุผ่านพายุฝนกระหน่ำหนักแบบไม่ลืมหูลืมตา ใช้ที่ปัดน้ำฝนเบอร์แรงสุด ยังมองแทบไม่เห็นทาง ต้องค่อยๆ ขับคลานมาเรื่อย แต่ภายในห้องโดยสารยังคงให้ความอุ่นใจกับผู้ขับและโดยสารได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าฝนจะกระหน่ำหนักเพียงไร
เมื่อผ่านพ้นช่วงวิกฤต มีโอกาสลองพละกำลัง 163 แรงม้า พร้อมเทอร์โบแปรผันของดีแมคซ์ แพลททินั่มอีกครั้ง โดยควบทะลุผ่านความเร็ว 140 กม./ชม. สบายๆ แบบกำลังยังเหลือ แม้เสียงเครื่องยนต์จะดังรบกวนเล็กน้อยหากเร่งเครื่องเกินกว่า 3,000 รอบ/นาที แต่ก็ถือว่าเบากว่าเครื่องยนต์ตัวเก่า(ที่ไม่ใช่คอมมอนเรล) และหากเปิดเพลงฟังผ่านเครื่องเสียงเคนวูดชุดใหม่ที่ให้มา แค่นี้ก็ไร้ปัญหา
สุดท้าย เราท่องเที่ยวกับเจ้าแพลททินั่ม เป็นระยะทางรวมราวๆ 560 กม. ดื่มด่ำกับธรรมชาติและเต็มอิ่มกับสมรรณะของแพลททินั่ม บอกได้คำเดียวว่า “สุขกายสบายใจเหมือนเดิม”