พอร์ชไม่ได้มีแค่ 911
จริงอยู่ที่ 911 คือรถสปอร์ตที่สร้างชื่อให้กับพอร์ช แต่ทว่าแบรนด์ดังจากเมืองสตุ๊ตการ์ทก็ไม่ได้มีแค่รถสปอร์ตรุ่นนี้อยู่ในตลาด
ในปี 1951 เมื่อ Walter Glöckler นำ 356 ไปดัดแปลงเป็นรถแข่งและได้รับชัยชนะ พอร์ชเล็งเห็นถึงการผลิตรุ่นพิเศษสำหรับเอาใจลูกค้า และได้คลอดเวอร์ชัน 550 ออกมาสู่ตลาดภายใต้การออกแบบสำหรับใช้ในการแข่งขัน และในเวลาต่อมากลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปว่า Spyder หรือ RS ซึ่งในปี 1960 รถแข่งของพอร์ชในชื่อ 718 RS 60 ที่ใช้พื้นฐานของ 550 สามารถคว้าชัยในการแข่งขัน targa Florio และ Sebring 12 Hours ทั้งที่เข้าร่วมการแข่งขันเป็นปีแรก
แต่ที่คนจดจำกันมากที่สุด คือ 550 ตัวแรงในชื่อ Little Bastard เป็นพาหนะที่คร่าชีวิตของเจมส์ ดีน ดาราสุดหล่อในยุคนั้น
ในปี 1968 พอร์ชร่วมมือกับโฟล์คสวาเกนอีกครั้งด้วยการผลิตรถสปอร์ต แต่คราวนี้มาในแบบเครื่องยนต์วางกลางในชื่อ 914 ด้วยราคาเพียง 12,000 ดอยช์มาร์ค และมีการผลิตจนถึงปี 1976 รวม 128,982 คัน จากนั้นในปี 1975 พอร์ช 924 กลายเป็นรถสปอร์ตรุ่นแรกของพอร์ชที่มากับเครื่องยนต์วางด้านหน้า และตามด้วยรุ่น 928 ในอีก 4 ปีต่อมา ซึ่ง 928 กลายเป็รถสปอร์ตรุ่นแรกที่ได้รับเลือกให้คว้ารางวัล Car of the year และมีการผลิตเรื่อยมาจนกระทั่งถึงปี 1995 รวม 61,056 คัน
นอกจากนั้นในยุคที่การแข่งขันแรลลี่เฟื่องฟูในทศวรรษที่ 1980 พอร์ชได้พัฒนาสุดยอดตัวแรงที่อยู่บนพื้นฐานของ 911 ออกมา และใช้ชื่อในการทำตลาดว่า 959 แบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เปิดตัวและขายในระยะเวลาสั้นๆ ระหว่างปี 1986-1989 เพียง 377 คัน โดยถือเป็นคู่ปรับตัวฉกาจของเฟอร์รารี่ F40 อีกทั้งยังมีการส่งเข้าร่วมการแข่งขันแรลลี่ Group B รวมถึงรายการเลอมังส์อีกด้วย
ในปี 1996 พอร์ชสร้างความฮือฮาอีกครั้งกับการขยายตลาดด้วยการหันมาเจาะตลาดรถสปอร์ตเปิดประทุนขนาดเล็กเพื่อแข่งขันกับเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลเค, บีเอ็มดับเบิลยู Z3 และออดี้ ทีที โดยคลอดสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางอย่างรุ่น บ็อกสเตอร์ ออกมา และได้รับความนิยมจากลูกค้าทั่วโลกอย่างมาก เพราะมีราคาที่ไม่แพงจนเกินไป และในขณะที่พอร์ชประสบความสำเร็จในการแข่งขันเลอมังส์ ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ก็เปิดตัว 911 GT1 ที่ถือว่าเป็นสุดยอดรถสปอร์ตอีกรุ่นหนึ่งเท่าที่พอร์ชเคยผลิตออกสู่ตลาด มีขายเพียง 25 คันเท่านั้น เช่นเดียวกับการผลิตรุ่น คาร์เรรา จีที ที่เปิดตัวในปี 2004-2006 และเป็นซูเปอร์คาร์แบบลิมิเต็ด เอดิชันที่นักสะสมทั่วโลกต่างเก็บเอาไว้ในคอลเล็กชันด้วยกำลังการผลิตเพียง 1,270 คันจาก 1,500 คันที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้
หลังปี 2000 เป็นต้นมา พอร์ชปรับตัวในการขยายฐานลูกค้า และแน่นอนว่าตลาดเอสยูวีคือขุมทรัพย์ต่อไปในการผลิตยานยนต์ออกมารองรับ และนั่นก็เลยเป็นที่มาของอีกโปรเจ๊กต์ที่เกิดจากความร่วมมือกับโฟล์คสวาเกน ด้วยการเผยโฉม คาเยนน์ เอสยูวีติดจรวดที่ใช้พื้นฐานเดียวกับโฟล์คสวาเกน ทัวเร็ก และออดี้ Q7 ซึ่งเอสยูวีรุ่นนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดสหรัฐอเมริกา ขณะที่ตลาดรถสปอร์ต ก็เสริมทัพด้วยคูเป้รุ่นเล็กในชื่อ เคย์แมน ที่ใช้พื้นฐานเดียวกับบ็อกสเตอร์
ในปี 2010 จะเกิดความเปลี่ยนแปลงอีกครั้งกับพอร์ช เมื่อแบรนด์ดังของเยอรมนีกำลังหันมาเจาะตลาดรถยนต์นั่งระดับหรูหราด้วยการคลอดรุ่นพานาเมอราออกสู่ตลาด และเชื่อว่าจะเป็นอีกครั้งที่พอร์ชสามารถเข้าถึงความต้องการของลูกค้าได้อย่างแท้จริงด้วยรูปลักษณ์ที่สวยสะดุดตา และแน่นอนว่าคงความเร้าใจในการขับขี่ตามแบบฉบับรถสปอร์ต
จริงอยู่ที่ 911 คือรถสปอร์ตที่สร้างชื่อให้กับพอร์ช แต่ทว่าแบรนด์ดังจากเมืองสตุ๊ตการ์ทก็ไม่ได้มีแค่รถสปอร์ตรุ่นนี้อยู่ในตลาด
ในปี 1951 เมื่อ Walter Glöckler นำ 356 ไปดัดแปลงเป็นรถแข่งและได้รับชัยชนะ พอร์ชเล็งเห็นถึงการผลิตรุ่นพิเศษสำหรับเอาใจลูกค้า และได้คลอดเวอร์ชัน 550 ออกมาสู่ตลาดภายใต้การออกแบบสำหรับใช้ในการแข่งขัน และในเวลาต่อมากลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปว่า Spyder หรือ RS ซึ่งในปี 1960 รถแข่งของพอร์ชในชื่อ 718 RS 60 ที่ใช้พื้นฐานของ 550 สามารถคว้าชัยในการแข่งขัน targa Florio และ Sebring 12 Hours ทั้งที่เข้าร่วมการแข่งขันเป็นปีแรก
แต่ที่คนจดจำกันมากที่สุด คือ 550 ตัวแรงในชื่อ Little Bastard เป็นพาหนะที่คร่าชีวิตของเจมส์ ดีน ดาราสุดหล่อในยุคนั้น
ในปี 1968 พอร์ชร่วมมือกับโฟล์คสวาเกนอีกครั้งด้วยการผลิตรถสปอร์ต แต่คราวนี้มาในแบบเครื่องยนต์วางกลางในชื่อ 914 ด้วยราคาเพียง 12,000 ดอยช์มาร์ค และมีการผลิตจนถึงปี 1976 รวม 128,982 คัน จากนั้นในปี 1975 พอร์ช 924 กลายเป็นรถสปอร์ตรุ่นแรกของพอร์ชที่มากับเครื่องยนต์วางด้านหน้า และตามด้วยรุ่น 928 ในอีก 4 ปีต่อมา ซึ่ง 928 กลายเป็รถสปอร์ตรุ่นแรกที่ได้รับเลือกให้คว้ารางวัล Car of the year และมีการผลิตเรื่อยมาจนกระทั่งถึงปี 1995 รวม 61,056 คัน
นอกจากนั้นในยุคที่การแข่งขันแรลลี่เฟื่องฟูในทศวรรษที่ 1980 พอร์ชได้พัฒนาสุดยอดตัวแรงที่อยู่บนพื้นฐานของ 911 ออกมา และใช้ชื่อในการทำตลาดว่า 959 แบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เปิดตัวและขายในระยะเวลาสั้นๆ ระหว่างปี 1986-1989 เพียง 377 คัน โดยถือเป็นคู่ปรับตัวฉกาจของเฟอร์รารี่ F40 อีกทั้งยังมีการส่งเข้าร่วมการแข่งขันแรลลี่ Group B รวมถึงรายการเลอมังส์อีกด้วย
ในปี 1996 พอร์ชสร้างความฮือฮาอีกครั้งกับการขยายตลาดด้วยการหันมาเจาะตลาดรถสปอร์ตเปิดประทุนขนาดเล็กเพื่อแข่งขันกับเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลเค, บีเอ็มดับเบิลยู Z3 และออดี้ ทีที โดยคลอดสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางอย่างรุ่น บ็อกสเตอร์ ออกมา และได้รับความนิยมจากลูกค้าทั่วโลกอย่างมาก เพราะมีราคาที่ไม่แพงจนเกินไป และในขณะที่พอร์ชประสบความสำเร็จในการแข่งขันเลอมังส์ ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ก็เปิดตัว 911 GT1 ที่ถือว่าเป็นสุดยอดรถสปอร์ตอีกรุ่นหนึ่งเท่าที่พอร์ชเคยผลิตออกสู่ตลาด มีขายเพียง 25 คันเท่านั้น เช่นเดียวกับการผลิตรุ่น คาร์เรรา จีที ที่เปิดตัวในปี 2004-2006 และเป็นซูเปอร์คาร์แบบลิมิเต็ด เอดิชันที่นักสะสมทั่วโลกต่างเก็บเอาไว้ในคอลเล็กชันด้วยกำลังการผลิตเพียง 1,270 คันจาก 1,500 คันที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้
หลังปี 2000 เป็นต้นมา พอร์ชปรับตัวในการขยายฐานลูกค้า และแน่นอนว่าตลาดเอสยูวีคือขุมทรัพย์ต่อไปในการผลิตยานยนต์ออกมารองรับ และนั่นก็เลยเป็นที่มาของอีกโปรเจ๊กต์ที่เกิดจากความร่วมมือกับโฟล์คสวาเกน ด้วยการเผยโฉม คาเยนน์ เอสยูวีติดจรวดที่ใช้พื้นฐานเดียวกับโฟล์คสวาเกน ทัวเร็ก และออดี้ Q7 ซึ่งเอสยูวีรุ่นนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดสหรัฐอเมริกา ขณะที่ตลาดรถสปอร์ต ก็เสริมทัพด้วยคูเป้รุ่นเล็กในชื่อ เคย์แมน ที่ใช้พื้นฐานเดียวกับบ็อกสเตอร์
ในปี 2010 จะเกิดความเปลี่ยนแปลงอีกครั้งกับพอร์ช เมื่อแบรนด์ดังของเยอรมนีกำลังหันมาเจาะตลาดรถยนต์นั่งระดับหรูหราด้วยการคลอดรุ่นพานาเมอราออกสู่ตลาด และเชื่อว่าจะเป็นอีกครั้งที่พอร์ชสามารถเข้าถึงความต้องการของลูกค้าได้อย่างแท้จริงด้วยรูปลักษณ์ที่สวยสะดุดตา และแน่นอนว่าคงความเร้าใจในการขับขี่ตามแบบฉบับรถสปอร์ต