xs
xsm
sm
md
lg

หั่นภาษีแจ้งเกิดรถใช้ E85ปตท.พัฒนาน้ำมัน‘BHD’

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ข่าวในประเทศ - รัฐบาลดิ้นพล่านนิ่งต่อไปอีกไม่ได้ เมื่อราคานำมันปรับตัวทำนิวไฮต์แทบทุกวัน จนต้องเข็นมาตรการรับมือเร่งด่วน โดยเฉพาะการสนับสนุนให้ใช้พลังงานทางเลือก ทั้งก๊าซธรรมชาติ หรือเอ็นจีวี และน้ำมันพลังงานทดแทน ด้วยการหั่นภาษีจูงใจทั้งผู้ใช้และผู้ประกอบการ แม้แต่การผลักดันน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ที่เดิมจะเริ่มในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ครม.เศรษฐกิจติดสปริงก์ร่นมาเป็นปลายปีนี้ คาดจะเสนอครม.ลดภาษีสรรพสามิตในอัตราต่ำกว่า E20 เข้าทาง “วอลโว่-ฟอร์ด-จีเอ็ม” ที่จี้ขอรับการส่งเสริมมาตลอด ซึ่งเบื้องต้นพร้อมที่จะนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปจากต่างประเทศมาจำหน่ายก่อน ส่วนรุ่นผลิตในไทย “ฟอร์ด” ประกาศชัดรถซับคอมแพ็กต์ “เฟียสต้า” ที่จะเปิดตัวในปี 2552 สามารถใช้น้ำมัน E85 ได้แน่นอน ขณะที่ค่ายรถญี่ปุ่นค่อนข้างจะมีเสียงต่างออกไป ขอระยะเวลาในการดำเนินการ 2-3 ปี แต่งานนี้รัฐบาลรอไม่ได้เดินหน้าลุยถั่ว และส่งสัญญาณให้ “ปตท.” และ “บางจาก” นำร่องเปิดสถานีบริการรองรับภายใน 6 เดือนจากนี้ ไม่เพียงเท่านั้นปตท.ยังจับมือกลุ่มบริษัท “โตโยต้า” พัฒนาน้ำมันไบโอดีเซลใหม่ “BHD” สู่ตลาดในอนาคต โดยนำไฮโดรเจนมาใช้ในกระบวนการผลิต ทำให้มีประสิทธิภาพตอบสนองการทำงาน และลดมลพิษได้ดียิ่งขึ้น

ราคาน้ำมันในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แข่งกันปรับราคาทำนิวไฮต์แทบทุกวัน จนถึงกับมีการกล่าวขานกันว่า ในเร็วๆ นี้ ราคาน้ำมันดีเซลมีสิทธิ์ทะลุ 40 บาทแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงน้ำมันเบนซิน ที่ปัจจุบันในต่างจังหวัดได้แตะ 40 บาทไปแล้ว จนส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อสภาวะเศรษฐกิจ และการดำเนินชีวิตของประชาชนโดยรวม

เหตุนี้ราคาน้ำมันแพงจึงเป็นปัญหาใหญ่และเร่งด่วนของประเทศไทย จนรัฐบาลที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ต้องประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจเป็นกรณีพิเศษ เพื่อหามาตรการลดปัญหาราคาน้ำมันแพง และประหยัดการใช้พลังงานอย่างเร่งด่วน โดยหนึ่งในนั้นคือการนำพลังงานทางเลือกมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นพลังงานก๊าซธรรมชาติ หรือเอ็นจีวี และโดยเฉพาะน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ซึ่งมีส่วนผสมของเอทานอล ที่ทำมาจากพืชการเกษตร 85% ผสมกับน้ำมันเบนซิน 15%

โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการแก้ปัญหา และสนับสนุนการใช้พลังงานทางเลือก ขยายเวลายกเว้นภาษีนำเข้าถังบรรจุก๊าซฯ และอุปกรณ์เอ็นจีวีให้เหลือ 0% ออกไปอีก 4 ปี หรือจนถึงปี 2555 และขยายเวลาปรับลดภาษีนำเข้าชิ้นส่วน และอุปกรณ์ ซึ่งนำเข้ามาในลักษณะชิ้นส่วนสมบูรณ์ หรือซีเคดี (CKD) เพื่อประกอบและผลิตในประเทศ จาก 10% ให้เหลือ 0% ครอบคลุมรถบรรทุกและรถหัวลากด้วย และให้ขยายเวลาการยกเว้นภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์เอ็นจีวีออกไปอีก 3 ปี จากเดิมจะสิ้นสุดในวันที่ 15 พฤศจิกายนนี้

สำหรับรถยนต์ที่สามารถใช้น้ำมัน E85 จะเสนอคณะรัฐมนตรีให้ลดภาษีสรรพสามิตลงภายในปลายปีนี้ ในอัตราเท่ากับรถยนต์ E20 หรือต่ำกว่า เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับผู้ประกอบการ จากเดิมที่จะเริ่มสนับสนุนในอีก 2-3 ปีข้างหน้า โดยเบื้องต้นจะมีวอลโว่ ฟอร์ด และจีเอ็ม นำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปที่สามารถใช้น้ำมัน E85 จากต่างประเทศมาจำหน่ายภายใน 3-4 เดือนจากนี้ และจะเริ่มผลิตได้ภายใน 6 เดือน ส่วนบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นจะเริ่มผลิตในอีก 2 ปี และในส่วนของน้ำมัน E85 บริษัทปตท. และบางจากจะนำร่องเปิดสถานีบริการภายใน 6 เดือน ซึ่งราคาจะต่างจากน้ำมันเบนซิน 10 บาท

นั่นย่อมแน่นอนแล้วว่า รัฐบาลพร้อมผลักดันให้เกิดการใช้พลังงานทางเลือก ที่ถือเป็น Bio-Fuel อย่างแท้จริงแล้ว โดยครอบคลุมทั้งตัวพลังงาน และรถยนต์ที่จะรองรับพลังงานทางเลือก ซึ่งเรื่องใหญ่เห็นจะเป็นการเริ่มนำร่องใช้พลังงานน้ำมัน E85 เพราะไม่เคยมีมาก่อนในไทย และทั่วโลกก็มีเพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้น

ทั้งนี้หากดูจากคำยืนยันของรัฐบาล เบื้องต้นในช่วงปลายปีนี้จะมีสองบริษัทน้ำมันที่พร้อมจะผลิตน้ำมัน E85 ออกสู่ตลาด นั่นก็คือ “ปตท.” และ “บางจาก” ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทน้ำมันในเครือข่ายของรัฐบาล และก็เคยเป็นหัวหอกตอบสนองนโยบายรัฐบาล ในเรื่องพลังงานทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน E10 และล่าสุดน้ำมัน E20 จนประสบความสำเร็จมาแล้ว

ดังนั้นหากไม่มีเหตุให้เกิดการณ์เปลี่ยนแปลง ช่วงไตรมาสสามของปีนี้จะมีน้ำมัน E85 ออกสู่ตลาดแน่นอน แม้จะเพียงแค่เป็นจุดเริ่มต้น แต่นั่นก็ทำให้เกิดความชัดเจน และเร่งผลักดันให้บริษัทรถยนต์ได้ผลิตรถที่ใช้น้ำมัน E85 ออกมาสู่ตลาด และเมื่อบวกกับภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ที่ลดลงให้กับรถใช้น้ำมัน E85 ก็ถือเป็นแรงจูงใจที่ยากจะปฏิเสธ

ส่วนพลังงานทางเลือกอื่นๆ โดยเฉพาะในส่วนที่จะมาทดแทนน้ำมันดีเซล ที่ปัจจุบันก็ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับว่ายังไม่มีความชัดเจนมากนัก นอกจากแผนที่เคยดำเนินการไปแล้ว นั่นคือน้ำมันดีเซลที่จำหน่ายในไทยขณะนี้ ซึ่งมีสัดส่วนของน้ำมันดีเซลผสมกับน้ำมันที่มาจากพืชธรรมชาติ หรือไบโอดีเซลบริสุทธิ์ 2% เรียกว่าน้ำมันดีเซล B2 และบางปั๊มเช่น “ปตท.” กับ “บางจาก” ได้เปิดขายน้ำมันดีเซล B5 ไปแล้ว แต่การจะขยับปริมาณน้ำมันไบโอดีเซลบริสุทธิ์มากกว่านั้น อย่างน้ำมันดีเซล B100 ยังไม่มีการพูดถึงมากนัก

ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ค่าย “ฟอร์ด” ก็ประกาศพร้อมลุยได้ทันทีเช่นกัน โดยได้มีสองผู้บริหารระดับสูงของฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี ได้แก่ นายซีอัด เอส. โอแจคลี รองประธานฝ่ายรัฐกิจและชุมชนสัมพันธ์ ซึ่งอดีตเคยทำงานกับประธานาธิบดี “จอร์จ บุช” ในตำแหน่งรองผู้ช่วยประธานาธิบดีฝ่ายกฎหมายประจำสำนักหัวหน้าผู้ประสานงานของประธานาธิบดีสหรัฐฯกับวุฒิสภา ระหว่างปี 2544-2547 จึงนับเป็นมือล็อบบี้รัฐบาลระดับสำคัญทีเดียว ส่วนอีกคน “ซูซาน ซิซกี” รองประธานอาวุโส ฝ่ายการดำเนินการอย่างยั่งยืน สิ่งแวดล้อม และวิศวกรรมด้านความปลอดภัย ได้ร่วมกันเดินทางมาไทยแถลงจุดยืน และเข้าพบตัวแทนรัฐบาลไทย เพื่ออธิบายถึงความพร้อมของฟอร์ดที่จะผลิตรถยนต์ใช้พลังงานทางเลือก

ทั้งสองได้ยืนยันฟอร์ดมีความพร้อมที่จะผลิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน E85 และเชื่อว่าเป็นพลังงานที่เหมาะสมที่สุด เพราะถือเป็นพลังงานที่ยืดหยุ่น และเป็นประโยชน์ต่อสภาวะเศรษฐกิจของไทย และประกาศชัดหากรัฐบาลประกาศสนับสนุนชัดเจน ฟอร์ดขอใช้เวลาเพียง 6 เดือนเท่านั้น สามารถที่จะผลิตรถยนต์ออกมา และปัจจุบันรถยนต์หลายรุ่นของฟอร์ดในบางประเทศก็ใช้น้ำมัน E85 อยู่แล้ว

เท่านั้นไม่พอทั้งสองยังแย้มออกมาว่า รถยนต์เล็กประเภท B Car หรือกลุ่มซับคอมแพ็กต์ รุ่น “เฟียสต้า” ที่ฟอร์ดได้ลงทุนขยายโรงงานออโตอัลลายแอนซ์ เพื่อขึ้นไลน์ผลิตในไทย พร้อมที่จะเป็นรถใช้พลังงานน้ำมัน E85 ทันทีที่ออกจากโรงงานในปี 2552

การที่รัฐบาลได้ประกาศแผนแก้ปัญหาราคาน้ำมันแพง และหนึ่งในนั้นมีเรื่องการส่งเสริมให้ใช้น้ำมัน E85 จึงดูเหมือนจะเข้าทางของวอลโว่และฟอร์ด ที่ค่ายแรกจะนำรถจากต่างประเทศเข้ามาทำตลาดได้ทันที และอีกฝ่ายก็มีโปรดักซ์ที่จะผลิตออกสู่ตลาดแล้วเช่นกัน ในอีก 1-2 ปีจากนี้ไป

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนแผนเร่งด่วนของรัฐบาล จะไม่ค่อยเป็นที่ถูกใจของค่ายรถญี่ปุ่นเท่าไหร่ ดังจะได้ยินจากเสียงก่อนหน้านี้ของค่ายยักษ์ใหญ่ “โตโยต้า-ฮอนด้า” ที่ประสานเสียงเห็นพ้องกันว่า น้ำมัน E85 เป็นเรื่องที่จะต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษา เพราะแม้เทคโนโลยีนี้จะมีในต่างประเทศ แต่สภาพต่างๆ และเอทานอลมีคุณสมบัติต่างกัน ประกอบกับบริษัทรถเพิ่งพัฒนารถยนต์ใช้น้ำมัน E20 สู่ตลาด จึงยังไม่ได้เตรียมพร้อมเรื่อง E85 และยังต้องดูเรื่องวัตถุดิบมีรองรับเพียงพอหรือไม่ เหตุนี้จึงต้องใช้เวลาระหว่าง 2-3 ปีเป็นต้นไป จึงจะเหมาะสม

นั่นคือเสียงสะท้อนที่แตกต่างกันของผู้ประกอบการ แต่ในสภาวะราคาน้ำมันปรับตัวทำนิวไฮต์ทุกวัน ทำให้รัฐบาลไม่สามารถทนนิ่งต่อไปได้ การเร่งออกมาตการสนับสนุนแบบติดสปริงก์ และเมื่อบวกกับกลไกตลาดบังคับ ที่สุดค่ายรถที่ไม่เห็นด้วยก็ต้องรีบปรับตัว เช่นเดียวกับกรณี…น้ำมัน E20!!
กำลังโหลดความคิดเห็น