"ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ 133 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ควรจะสะท้อนราคาขายปลีกภายในประเทศไม่เกิน 27 บาท/ลิตรเท่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้คนไทยต้องใช้น้ำมันแพงมาจากการที่ ปตท.ถูกแปรรูปเข้าไปอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ !"
"40บาท/ลิตร” วลีนี้ไม่เคยอยู่ในหัวคนไทยเลยหากนับถอยหลังไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่วันนี้มันกลับสร้างผลกระทบอย่างมากมายในชีวิตประจำวันของคนในชาติใครจะรู้บ้างว่าทำไมเราต้องใช้น้ำมันแพงขนาดนี้ หรืออาจแพงมากกว่านี้ได้ในอนาคต โดยสิ่งที่อ้างส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการเก็งกำไร และราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่สูงขึ้นในปัจจุบัน มีคนตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ 133 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ควรจะสะท้อนราคาขายปลีกภายในประเทศไม่เกิน 27 บาท/ลิตรเท่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้คนไทยต้องใช้น้ำมันแพงมาจากการที่ บริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ของประเทศอย่าง ปตท. ซึ่งเคยเป็นรัฐ วิสาหกิจต้องถูกแปรรูปเข้าไปอยู่ในตลาดหลักทรัพย์
นับเป็นมุมมองอันน่าสนในที่มาจาก ผู้คร่ำหวอดในวงการธุรกิจน้ำมันอย่างคุณโสภณ สุภาพงษ์ อีดตกรรมการผู้จัดการ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)ซึ่งบอกว่า การที่น้ำมันแพงจะผูกด้วยเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับการเก็งกำไร และการที่แปรรูปบริษัท ปตท. ให้เป็นบริษัทจำกัดมหาชน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันในประเทศแพงขึ้นกว่าที่จำเป็น ทั้งนี้หากสังเกตให้ดีกำไรของ ปตท.จะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกันทุกปีก่อนที่จะทำการแปรรูป แต่หลังจากที่ทำการแปรรูปแล้ว กำไรของบริษัท ปตท. กลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสูงเป็นระดับแสนล้านต่อปี ซึ่งสูงกว่ากำไรก่อนการแปรรูปอยู่หลายเท่าที่ซ้ำร้ายกว่านั้นการที่หุ้นของปตท. ถูกถือด้วยคนใกล้ชิดในวงการเมือง หรือข้าราชการระดับสูง เป็นเรื่องที่ทำให้มีผลประโยชน์ทับซ้อนของผู้ถือหุ้น และนำไปสู่การสร้างกำไรอย่างมหาศาล
แม้จะทำให้ประชาชนต้องบริโภคราคาน้ำมันที่เป็นเพียงราคาอ้างอิง โดยมิใช่ราคาจริงของการบริโภค ณ วันนั้นแทน นอกเหนือจากคุณโสภณ แล้ว นักวิชาการท่านหนึ่งยังให้ความเห็นว่า การที่ราคาน้ำมันแพงขนาดนี้ เป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของคนไทยเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งน้ำมันถือเป็นยุทธปัจจัยที่สำคัญของประเทศ แต่กลับถูกแปรรูป ทำให้ควบคุมราคาไม่ได้ และต้องใช่ราคาเกินจริง โดยก่อนหน้านี้คนไทยยังสามารถกำหนดราคาได้ถึงแม้จะต้องขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกก็ตาม แต่ยังไม่ถึงขั้นต้องใช้น้ำมันแพงเกินความเป็นจริงเช่น เดียวกับในปัจจุบัน
ทั้งนี้ถึงแม้ล่าสุดรัฐบาลจะมีมติให้ลดค่าการกลั่นในส่วนของน้ำมันดีเซลลง 1 บาท ก็ยังไม่สะท้อนราคาที่ควรจะเป็นอยู่ และถ้าการลดค่าการกลั่นครั้งนี้เป็นไปตามจริงแล้วน่าที่จะทำได้ก่อนหน้านี้ โดยไม่จำเป็นต้องรอ ซึ่งแสดว่าภาครัฐยังขาดความสนใจต่อปัญหานี้อย่างจริงจัง เพียงแค่ปล่อยไปตามกระแส และแก่ปัญหาเฉพาะหน้าแทนในกรณีที่ราคาน้ำมันมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการดำเนินชีวิต
ผลกระทบตลาดทุนไทย
นักลงทุนส่วนใหญ่ผวาหากจะนำ ปตท. และบริษัทลูกออกจากตลาดหลักทรัพย์ เพราะกลัวว่าต่างชาติจะไม่เข้ามาลงทุน หรือมองเป็นนัยว่าเสน่ห์ของตลาดทุนบ้านเราหมดไป แน่นอนการนำหุ้นปตท.ออกจากตลาดหุ้นย่อมมีผลกระทบตามมา ไหนจะเรื่องของการตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้นคืนในราคาตลาดแล้ว การที่มูลค่าของหุ้นตัวนี้สูงถึงประมาณ 1 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 15%ของมูลค่ารวมในตลาดหุ้นไทยเลยทีเดียว และหากจะทำจริงๆ ควรที่จะนำบริษัทลูกของปตท. ออกมาด้วย ซึ่งจะทำให้มูลค่ารวมของบริษัทในเครือนี้สูงถึง 20% ของมูลค่าในตลาดรวม และอาจทำให้ตลาดหลักทรัพย์บ้านเราดูผอมลงไปถนัดตา ส่วนสิ่งที่ตามมาไม่พ้นเรื่องเงินลงทุนของต่างชาติที่ส่วนใหญ่จะให้ความสนใจหุ้นตัวนี้เป็นพิเศษ และส่งผลให้การวัดดัชนี MSCI ลดความน่าสนใจตลาดหุ้นประเทศไทยลง นอกจากนี้จะทำให้มีบริษัทใหญ่ให้เลือกลงทุนน้อยลงอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ถึงมันจะถอยหลังไปบ้าง แต่ใช่ว่าขาดหุ้นปตท.แล้วตลาดหุ้นบ้านประเทศไทยจะไม่มีวันโตอีก โดยการจะนำหุ้นปตท. อาจทำให้ตลาดทุนบ้านเราถอยไป 5-10 ปี แต่หากนำบริษัทขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าสูงเข้ามาจดทะเบียนในตลาดได้ สิ่งที่หลายคนผวาคงไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอีกต่อไปกับการนำหุ้น ปตท.ออกจากตลาดหลักทรัพย์
ชั่งน้ำหนัก
ฟังความเห็นทั้งฝั่งนักลงทุน และผู้เชี่ยวชาญแล้วคงต้องชั่งดูว่าจะเอาสิ่งใดสำคัญสำหรับประเทศมากที่สุด เพราะใช่ว่าเราจะไม่มีทางเลือกในการดำเนินการอะไรเลย แต่กลับมีช่องทางให้เลือกแม้จะได้รับผลกระทบบ้างก็ตาม ถึงตอนนี้ไม่รู้ว่าจะมีประชาชนตาดำๆ ต้องเดือดร้อนกับการที่ราคาน้ำมันแพงกันมากน้อยเพียงใดแล้ว ส่วนจะดำเนินการอย่างไรคงต้องแล้วแต่ผู้ที่เข้ามาเป็นรัฐบาลว่าจะเลือกอะไรเป็นหลักระหว่างตลาดทุนไทย และความเดือดร้อนของคนในประเทศ
ส่วนการแก้ปัญหาในระยะยาวนั้น การหาพลังงานบริสุทธิ์เพื่อนทดแทนน้ำมันจะต้องมีการพัฒนากันต่อไป ซึ่งเป็นการแก้ที่ต้นเหตุในระยะยาว แต่ยังคงต้องใช้เวลาอีกสักพัก โดยหากปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นวันนี้ มีผลวันนี้ ยังไม่ได้รับการแก้ไขคนไทยคงต้องน่าหักบูดเบี้ยวกันกับปัญหาเงินเฟ้อที่จะตามมาอย่างแน่นอน
"40บาท/ลิตร” วลีนี้ไม่เคยอยู่ในหัวคนไทยเลยหากนับถอยหลังไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่วันนี้มันกลับสร้างผลกระทบอย่างมากมายในชีวิตประจำวันของคนในชาติใครจะรู้บ้างว่าทำไมเราต้องใช้น้ำมันแพงขนาดนี้ หรืออาจแพงมากกว่านี้ได้ในอนาคต โดยสิ่งที่อ้างส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการเก็งกำไร และราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่สูงขึ้นในปัจจุบัน มีคนตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ 133 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ควรจะสะท้อนราคาขายปลีกภายในประเทศไม่เกิน 27 บาท/ลิตรเท่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้คนไทยต้องใช้น้ำมันแพงมาจากการที่ บริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ของประเทศอย่าง ปตท. ซึ่งเคยเป็นรัฐ วิสาหกิจต้องถูกแปรรูปเข้าไปอยู่ในตลาดหลักทรัพย์
นับเป็นมุมมองอันน่าสนในที่มาจาก ผู้คร่ำหวอดในวงการธุรกิจน้ำมันอย่างคุณโสภณ สุภาพงษ์ อีดตกรรมการผู้จัดการ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)ซึ่งบอกว่า การที่น้ำมันแพงจะผูกด้วยเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับการเก็งกำไร และการที่แปรรูปบริษัท ปตท. ให้เป็นบริษัทจำกัดมหาชน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันในประเทศแพงขึ้นกว่าที่จำเป็น ทั้งนี้หากสังเกตให้ดีกำไรของ ปตท.จะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกันทุกปีก่อนที่จะทำการแปรรูป แต่หลังจากที่ทำการแปรรูปแล้ว กำไรของบริษัท ปตท. กลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสูงเป็นระดับแสนล้านต่อปี ซึ่งสูงกว่ากำไรก่อนการแปรรูปอยู่หลายเท่าที่ซ้ำร้ายกว่านั้นการที่หุ้นของปตท. ถูกถือด้วยคนใกล้ชิดในวงการเมือง หรือข้าราชการระดับสูง เป็นเรื่องที่ทำให้มีผลประโยชน์ทับซ้อนของผู้ถือหุ้น และนำไปสู่การสร้างกำไรอย่างมหาศาล
แม้จะทำให้ประชาชนต้องบริโภคราคาน้ำมันที่เป็นเพียงราคาอ้างอิง โดยมิใช่ราคาจริงของการบริโภค ณ วันนั้นแทน นอกเหนือจากคุณโสภณ แล้ว นักวิชาการท่านหนึ่งยังให้ความเห็นว่า การที่ราคาน้ำมันแพงขนาดนี้ เป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของคนไทยเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งน้ำมันถือเป็นยุทธปัจจัยที่สำคัญของประเทศ แต่กลับถูกแปรรูป ทำให้ควบคุมราคาไม่ได้ และต้องใช่ราคาเกินจริง โดยก่อนหน้านี้คนไทยยังสามารถกำหนดราคาได้ถึงแม้จะต้องขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกก็ตาม แต่ยังไม่ถึงขั้นต้องใช้น้ำมันแพงเกินความเป็นจริงเช่น เดียวกับในปัจจุบัน
ทั้งนี้ถึงแม้ล่าสุดรัฐบาลจะมีมติให้ลดค่าการกลั่นในส่วนของน้ำมันดีเซลลง 1 บาท ก็ยังไม่สะท้อนราคาที่ควรจะเป็นอยู่ และถ้าการลดค่าการกลั่นครั้งนี้เป็นไปตามจริงแล้วน่าที่จะทำได้ก่อนหน้านี้ โดยไม่จำเป็นต้องรอ ซึ่งแสดว่าภาครัฐยังขาดความสนใจต่อปัญหานี้อย่างจริงจัง เพียงแค่ปล่อยไปตามกระแส และแก่ปัญหาเฉพาะหน้าแทนในกรณีที่ราคาน้ำมันมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการดำเนินชีวิต
ผลกระทบตลาดทุนไทย
นักลงทุนส่วนใหญ่ผวาหากจะนำ ปตท. และบริษัทลูกออกจากตลาดหลักทรัพย์ เพราะกลัวว่าต่างชาติจะไม่เข้ามาลงทุน หรือมองเป็นนัยว่าเสน่ห์ของตลาดทุนบ้านเราหมดไป แน่นอนการนำหุ้นปตท.ออกจากตลาดหุ้นย่อมมีผลกระทบตามมา ไหนจะเรื่องของการตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้นคืนในราคาตลาดแล้ว การที่มูลค่าของหุ้นตัวนี้สูงถึงประมาณ 1 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 15%ของมูลค่ารวมในตลาดหุ้นไทยเลยทีเดียว และหากจะทำจริงๆ ควรที่จะนำบริษัทลูกของปตท. ออกมาด้วย ซึ่งจะทำให้มูลค่ารวมของบริษัทในเครือนี้สูงถึง 20% ของมูลค่าในตลาดรวม และอาจทำให้ตลาดหลักทรัพย์บ้านเราดูผอมลงไปถนัดตา ส่วนสิ่งที่ตามมาไม่พ้นเรื่องเงินลงทุนของต่างชาติที่ส่วนใหญ่จะให้ความสนใจหุ้นตัวนี้เป็นพิเศษ และส่งผลให้การวัดดัชนี MSCI ลดความน่าสนใจตลาดหุ้นประเทศไทยลง นอกจากนี้จะทำให้มีบริษัทใหญ่ให้เลือกลงทุนน้อยลงอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ถึงมันจะถอยหลังไปบ้าง แต่ใช่ว่าขาดหุ้นปตท.แล้วตลาดหุ้นบ้านประเทศไทยจะไม่มีวันโตอีก โดยการจะนำหุ้นปตท. อาจทำให้ตลาดทุนบ้านเราถอยไป 5-10 ปี แต่หากนำบริษัทขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าสูงเข้ามาจดทะเบียนในตลาดได้ สิ่งที่หลายคนผวาคงไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอีกต่อไปกับการนำหุ้น ปตท.ออกจากตลาดหลักทรัพย์
ชั่งน้ำหนัก
ฟังความเห็นทั้งฝั่งนักลงทุน และผู้เชี่ยวชาญแล้วคงต้องชั่งดูว่าจะเอาสิ่งใดสำคัญสำหรับประเทศมากที่สุด เพราะใช่ว่าเราจะไม่มีทางเลือกในการดำเนินการอะไรเลย แต่กลับมีช่องทางให้เลือกแม้จะได้รับผลกระทบบ้างก็ตาม ถึงตอนนี้ไม่รู้ว่าจะมีประชาชนตาดำๆ ต้องเดือดร้อนกับการที่ราคาน้ำมันแพงกันมากน้อยเพียงใดแล้ว ส่วนจะดำเนินการอย่างไรคงต้องแล้วแต่ผู้ที่เข้ามาเป็นรัฐบาลว่าจะเลือกอะไรเป็นหลักระหว่างตลาดทุนไทย และความเดือดร้อนของคนในประเทศ
ส่วนการแก้ปัญหาในระยะยาวนั้น การหาพลังงานบริสุทธิ์เพื่อนทดแทนน้ำมันจะต้องมีการพัฒนากันต่อไป ซึ่งเป็นการแก้ที่ต้นเหตุในระยะยาว แต่ยังคงต้องใช้เวลาอีกสักพัก โดยหากปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นวันนี้ มีผลวันนี้ ยังไม่ได้รับการแก้ไขคนไทยคงต้องน่าหักบูดเบี้ยวกันกับปัญหาเงินเฟ้อที่จะตามมาอย่างแน่นอน