xs
xsm
sm
md
lg

เล็งยกเลิกตรึงเอ็นจีวีสิ้นปีนี้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน- กระทรวงพลังงานชงแผนแก้ปัญหาเศรษฐกิจจากน้ำมันแพงระยะยาวด้วยการเร่งใช้ NGV ในรถยนต์ ผุด 3 โครงการวางท่อก๊าซใหม่ 3 เส้นมูลค่าเกือบ 3.5 หมื่นลบ.ภายใน 3 ปีหรือปี 2554 ขณะที่ระยะสั้นหักคอ 4 โรงกลั่นเครือปตท.และบางจากร่วมบริจาคกำไรการกลั่นดีเซลไม่เกิน 1 บาทต่อลิตร ตกเดือนละ 900 ล้านบาท พร้อมรุกคืบจีบโรงกลั่นเอสโซ่ เอสพีอาร์ซีร่วมบริจาค ส่วนครม.เศรษฐกิจนัดพิเศษ เตรียมเสนอมาตรการประหยัดพลังงานเข้าครม.สัปดาห์หน้า พร้อมยกเลิกตรึงเอ็นจีวี ทำให้ราคาพุ่งพรวด 12 บาท/กก.
พลโท.หญิงพูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ รมว.พลังงาน เปิดเผยถึง มาตรการเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง ว่า กระทรวงพลังงานจะเร่งรัดการใช้ก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ (NGV) โดยจะมีการศึกษาแนวทางการวางท่อก๊าซตามแนวระบบคมนาคมสายหลักทั่วประเทศใหม่ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่โดยจะมีการลงทุนเบื้องต้น 34,850 ล้านบาทภายใน 3 ปี ( 2552-2554 )
สำหรับท่อก๊าซฯ ที่ปตท.จะดำเนินการประกอบด้วย 3 เส้นได้แก่ 1. ภาคเหนือ เส้นอยุธยา-นครสวรรค์ ระยะทาง 172 กิโลเมตร(กม.) เงินลงทุน 8,600 ล้านบาท (ส่วนที่เหลือจะมีการใช้ CNG จากแหล่งสิริกิตติ์) 2. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สระบุรี-นครราชสีมา ระยะทาง 152 กม. เงินลงทุน 7,600 ล้านบาท (ส่วนที่เหลือจะใช้ CNG จากแหล่งน้ำพอง/ภูฮ่อม) 3. ภาคใต้ ราชบุรี-ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 373 กม. มูลค่า 18,650 ล้านบาท (ส่วนที่เหลือจะใช้ CNG จากโรงแยกก๊าซขนอม/สงขลา)
ขณะเดียวกัน จะมีการจัดหาและให้บริการ NGV รองรับรถยนต์จาก 7.1 หมื่นคัน เป็น1.23 แสนคันภายในสิ้นปี 2551 โดยจะมีการสร้างสถานีเป็น 355 แห่ง เพิ่มการผลิต NGV เป็น 5,464 ตันต่อวันในปี 2551 ,ขอขยายเวลาการยกเว้นอากรขาเข้าถังบรรจุก๊าซฯและอุปกรณ์ควบคุมการใช้ NGV ออกไปอีก 4 ปีสิ้นสุด ณ 31 ธ.ค. 2555 ,ขยายเวลายกเว้นภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ NGV แบบ Retrofit ซึ่งจะสิ้นสุด ณ วันที่ 15 พ.ย. 51 ออกไปอีก 3 ปี เป็นต้น
นายจิตรพงษ์ กว้างสุขสถิต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มธุรกิจสำรวจ บมจ.ปตท.กล่าวว่า ท่อก๊าซทั้ง 3 เส้นนั้นเคยเป็นแนวคิดที่จะดำเนินการแต่เดิมอัตราการใช้ยังไม่โตจึงยังไม่ได้บรรจุไว้ในแผนการลงทุนที่ชัดเจนแต่เมื่อการใช้ NGV เพิ่มขึ้นจึงต้องนำกลับมาพิจารณาการลงทุนเร่งด่วน

***รีด4โรงกลั่น1บาทต่อลิตร
พลโทหญิงพูนภิรมย์ กล่าวหลังการสรุปหลักการลดค่าการกลั่นดีเซลของ 4 โรงกลั่นคือ บมจ. ไออาร์พีซี บมจ.ปตท. ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น บมจ.ไทยออยล์ และบมจ.บางจากปิโตรเลี่ยม วานนี้ (26พ.ค.) ว่า โรงกลั่นทั้ง 4 รายพร้อมให้ความร่วมมือที่จะร่วมนำเงินจากส่วนต่างกำไรของการกลั่นดีเซลไม่เกิน 1 บาทต่อลิตร โดยโรงกลั่นแต่ละแห่งจะกลับไปพิจารณาตัวเลขที่เหมาะสมมาเสนออีกครั้งภายในสัปดาห์นี้

***รุกคืบจีบเอสโซ่-เอพีอาร์ซีร่วม
“เร็ว ๆ นี้ จะขอความร่วมมือจากโรง กลั่นฯ เอกชนทั้งเอสโซ่ และโรงกลั่นสตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง (เอสพีอาร์ซี) เข้าร่วมโครงการด้วย ซึ่งในส่วนตัวแล้วอยากจะนำไปช่วยเหลือประชาชนทั้งหมด แต่ไม่ทราบว่าจะทำได้หรือไม่ หรือจะช่วยเป็นรายสาขาก็คงจะต้องเร่งสรุปส่วนการที่โรงกลั่นเป็นบริษัทมหาชนก็เข้าใจดีแต่ภาวะน้ำมันแพงก็เป็นหน้าที่กระทรวงต้องดูแลผู้บริโภคด้วย”รมว.พลังงานกล่าว
นายพรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า 4 โรงกลั่นฯ เครือ ปตท. มีกำลังกลั่นดีเซลรวม 32 ล้านลิตร/วัน เงินที่ช่วยเหลือไม่เกิน 1 บาท/ลิตร จะนำมาเป็นกองกลางประมาณ 30 ล้านบาท/วัน หรือ 900 ล้านบาท/เดือน โดยอาจจะให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหรือกองทุนส่งเสริมและอนุรักษ์พลังงานบริหารก็เป็นไปได้ โดยจะเป็นการขอความร่วมมือชั่วคราวเท่านั้น อาจจะเป็น 3-6 เดือน
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บมจ.ปตท. กล่าวว่า ยอมรับว่าแต่ละโรงกลั่นนั้นกลั่นดีเซลไม่เท่ากันสว่นใหญ่ที่กลั่นมากคือ ไทยออยล์และ พีทีทีเออาร์ โดยรวมจะผลิต 32 ล้านลิตรต่อวัน ซึ่งหลักการโรงกลั่นเองก็เข้าใจว่าประชาชนกำลังเดือดร้อนก็พร้อมจะร่วมมือซึ่งจะรับไปพิจารณาอีกครั้ง
**** ค่าการกลั่นหาย1-1.5 เหรียญ/บาร์เรล
นายยอดพจน์ วงศ์รักมิตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการตลาดค้าปลีก บมจ.บางจากปิโตรเลียม กล่าวว่า ตามที่รมว.พลังงานต้องการให้โรงกลั่นน้ำมันลดกำไรจากค่าการกลั่นน้ำมันดีเซลลง 1 บาท/ลิตร จะทำให้ค่าการกลั่นน้ำมันของบางจากหายไป 1-1.50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากโรงกลั่นบางจากมีกำลังการกลั่นน้ำมันดีเซลอยู่ 20-30%ของกำลังการกลั่นรวม ซึ่งไตรมาสแรกปีนี้ บางจากฯมีค่าการกลั่นอยู่ที่ 5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล คาดว่าทั้งปีค่าการกลั่นจะอยู่ที่ 3.80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
จากนโยบายดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานบางจากฯในไตรมาส 2-3 เนื่องจากการปรับลดค่าการกลั่นดีเซลจะย้อนหลังตั้งแต่เม.ย.-ส.ค. 2551 เป็นระยะเวลา 5 เดือน อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวคงต้องรอผลสรุปที่แน่นอนอีกครั้ง เนื่องจากรมว.พลังงานได้ให้ผู้ประกอบการโรงกลั่นไปหารือเพื่อหาแนวทางการปฏิบัติให้ได้ข้อสรุปภายในสัปดาห์นี้ ขณะที่บางจากฯเป็นบริษัทจดทะเบียนมหาชน ก็คงต้องหารือบอร์ดบริษัทฯเพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป

***บางจากฯขึ้นดีเซลวันนี้อีก70สต./ลิตร
รายงานข่าวจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) แจ้งว่า บางจากฯได้แจ้งปรับราคาขายปลีกดีเซล 70 สตางค์/ลิตร มีผลตั้งแต่วันนี้ (27 พ.ค.) ส่งผลให้ดีเซลบางจากขยับขึ้นเป็น 38.34 บาท/ลิตร หลังจากที่บางจากได้เพิ่งปรับขึ้นดีเซลไปเมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมาถึงลิตรละ 1 บาท ขณะที่ค่ายน้ำมันต่างชาติขยับขึ้นเพียง 70 สตางค์/ลิตร ทำให้ราคาขายปลีกดีเซลบางจากเท่ากับบริษัทน้ำมันต่างชาติ

อ่วมซ้ำ สิ้นปี เอ็นจีวี ขึ้นราคาพรวด 12 บาท/กก.
น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯ และ รมว.คลัง กล่าวว่าภายการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)นัดพิเศษ ด้านเศรษฐกิจ ว่าในสังปดาห์หน้าจะเสนอมาตรการประหยัดพลังงานเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการใช้น้ำมัน อี 85 และ เอ็นจีวี ที่ต้องกลับไปทบทวนโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ ซึ่งเบื้องต้น อี 85 หรือ เอธานอล 85% ผสมกับน้ำมันเบนซิน 15%จะให้มีการใช้ภายใน 3-6 เดือนข้างหน้า ซึ่งขณะนี้มีบริษัทรถยนต์ต่างประเทศ 3 ค่ายยักษ์ คือ ฟอร์ด ,วอล์โว และ จีเอ็มมอร์เตอร์ ที่สนใจพร้อมจะนำเข้ามาจำหน่ายรถยนต์ อี 85 ภายในประเทศ ในขณะที่ค่ายรถยนต์ประเทศญี่ปุ่น อีก 2 ปีจึงจะะมีความพร้อม

“ทางกระทรวงการคลังจะกลับไปทบทวนโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ว่า จะลดภาษีให้ อี 85%ได้กี่เปอร์เซ็นต์เพราะปัจจุบันโครงสร้าง อี 20 ทางคลังลดภาษีสรรพสามิตให้ 5% จากเก็บภาษีอยู่เดิม 30% เป็น 25%” รมว.คลัง กล่าว

ทั้งนี้ในที่ประชุมได้มีการหารือ เรื่อง ราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ (เอ็นจีวี) ว่าในปีนี้จะสิ้นสุดการตรึงราคาที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม โดยปีหน้าจะมีการกล่าวถึงการปรับราคาแต่จะไม่เกิน 12 บาทต่อกิโลกรัม อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีการใช้เอ็นจีวีจำนวนมากแต่ยืนยันว่า เอ็นจีวีในประเทศไทยมีสำรองใช้อยู่จำนวนมากอีก 26 ปี

พล.ท.หญิง พูนภิรมย์ ลิปตพัลลพ รมว.พลังงานกล่าวว่า หากประเทศไทยมีการใช้อี 85 ได้ตามเป้า คือ 60% จะทำให้ลดการนำเข้าน้ำมันเบนซิน คิดเป็นมูลค่า 96,000 ล้านบาท ต่อ ปี ในขณะที่จะมีการใช้เอธานอลจำนวน 4,000 ล้านลิตรต่อปี ซึ่งจะทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น 82,000 ล้านบาทต่อปี
กำลังโหลดความคิดเห็น