xs
xsm
sm
md
lg

SCG เน้นนวัตกรรม สร้างความยั่งยืนในอาเซียน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายรุ่งโรจน์  รังสิโยภาส
SCG เผยครึ่งปีแรก มีกำไรใกล้เคียงปีก่อน เน้นกลยุทธ์ลงทุนเพื่อสร้างความยั่งยืนในอาเซียน เดินหน้าอนุมัติโครงการปิโตรเคมีครบวงจรแห่งแรกในเวียดนาม เปิดรับความร่วมมือจากสถาบันวิจัย ผู้ประกอบการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั่วโลก พร้อมเสริมการลงทุนในสตาร์ทอัพทั่วโลก มุ่งสร้างสรรค์สินค้าบริการเพื่ออนาคต ป้อนตลาด ตอบโจทย์ผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 2 เอสซีจี มีรายได้จากการขาย 108,825 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไร 13,252 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 17 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 24 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ ประกอบกับสภาพตลาดชะลอตัว และการแข่งขันโดยรวมในธุรกิจซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่รุนแรงมากขึ้น
สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรก มีรายได้จากการขาย 225,093 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสำหรับงวด 30,638 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากผลประกอบการที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ในไตรมาสที่ 1 นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการส่งออกครึ่งปีแรก 60,689 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 27 ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จาก ช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดในประเทศจีนและเอเชียใต้ อย่างไรก็ตาม คาดว่า ทั้งปีจะมียอดขายรวมเติบโตขึ้น 3-5%
ส่วนผลการดำเนินงานของเอสซีจีในอาเซียน นอกเหนือจากประเทศไทย ในช่วงครึ่งปีแรก มีรายได้จากการขายในภูมิภาคอาเซียน 52,000 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 24 ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ เอสซีจีมีสินทรัพย์รวมในอาเซียน นอกเหนือจากประเทศไทย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2560 มูลค่า 137,783 ล้านบาท คิดเป็นประมาณร้อยละ 25 ของสินทรัพย์รวม โดยสินทรัพย์รวมของเอสซีจี มีมูลค่า 552,373 ล้านบาท
นายรุ่งโรจน์ กล่าวอีกว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 และครึ่งปีแรกปี 2560 แยกตามรายธุรกิจดังนี้
"เอสซีจี เคมิคอลส์" ในไตรมาสที่ 2 มีรายได้จากการขาย 49,585 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ลดลงร้อยละ 9 จากไตรมาสก่อน มีกำไรสำหรับงวด 9,258 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 18 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 31 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ (inventory loss) ในครึ่งปีแรกของปี 2560 มีรายได้จากการขายเท่ากับ 103,856 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลประกอบการที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้จากไตรมาสที่ 1 กำไรสำหรับงวด 22,625 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

"เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง" ในไตรมาสที่ 2 มีรายได้จากการขาย 42,657 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อน มีกำไรสำหรับงวด 1,768 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 29 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 28 จากไตรมาสก่อน ในครึ่งปีแรกของปี 2560 มีรายได้จากการขายเท่ากับ 87,481 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากสภาวะตลาด ในประเทศไทยที่ยังคงชะลอตัวและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น มีกำไรสำหรับงวด 4,236 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 27 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับธุรกิจซิเมนต์และวัสดุก่อสร้างในอาเซียน ในช่วงครึ่งปีแรกนั้น ส่วนใหญ่ไม่มีการเติบโต หรือเติบโตในสัดส่วนไม่มากเท่าที่คาดการณ์ไว้ โดยกัมพูชา เป็นประเทศที่มีแนวโน้มดี หากเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยมีอัตราเติบโตขึ้น 5% ขณะที่เมียร์ม่า และเวียดนาม ไม่มีอัตราเติบโต เพราะพายุเข้าที่เวียดนามหลายลูก ทำให้ไม่สามารถก่อสร้างได้ ส่วนอินโดนีเซีย ตลาดหดตัวลง 2% ส่วนไทย ตลาดหดตัวมากถึง 7%
อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังยอดขายจะเริ่มดีขึ้น แต่คงไม่เท่าที่คาดการณ์ไว้ แม้ว่า ภาครัฐจะมีแผนลงทุนโครงการเมกะโปรเจกต์ก็ตาม ขณะที่ภาคที่อยู่อาศัยยังไม่สามารถประเมินได้ แต่เชื่อว่าตลอดทั้งปี ยอดขายโดยรวมจะลดลง
"เอสซีจี แพคเกจจิ้ง" ในไตรมาสที่ 2 มีรายได้จากการขาย 19,434 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสำหรับงวด 1,019 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในครึ่งปีแรกของปี 2560 มีรายได้จากการขายเท่ากับ 39,275 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์ มีกำไรสำหรับงวด 2,715 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 จาก ช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลจากกำไรจากการขายสินทรัพย์ในไตรมาสแรก
นายรุ่งโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เอสซีจียังคงเดินหน้าขยายธุรกิจสู่ภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้อนุมัติการลงทุนใน Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 71 ด้วยมูลค่าการลงทุนประมาณ 188,000 ล้านบาท (5,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ร่วมกับ Vietnam Oil and Gas Group (PetroVietnam) เพื่อดำเนินโครงการปิโตรเคมีครบวงจรแห่งแรกของประเทศเวียดนามที่มีความทันสมัยระดับชั้นนำของโลกและมีความสามารถในการแข่งขันเชิงธุรกิจ เนื่องจากเชื่อมโยงจากโรงงานปิโตรเคมีขั้นต้นถึงขั้นปลายครบวงจร สามารถใช้วัตถุดิบได้อย่างยืดหยุ่น (flexible feedstock) มีกำลังการผลิตโอเลฟินส์ 1.6 ล้านตันต่อปี คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 4 ปีครึ่ง และจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2565 ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าสินค้าและตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนามที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีแรก เอสซีจีมียอดขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services - HVA) จำนวน 86,291 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 38 ของยอดขายรวม
ล่าสุดได้เปิดตัว Open Innovation Center ต่อยอดความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากสถาบันวิจัย ภาครัฐ และภาคธุรกิจจากทั่วโลก เพื่อร่วมคิดและพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการสู่ตลาด ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้รวดเร็วและตรงจุดยิ่งขึ้น รวมถึงได้มีการลงทุนสนับสนุนธุรกิจแบบสตาร์ทอัพ โดยเปิดตัว AddVentures บริษัทในรูปแบบ Corporate Venture Capital หรือ CVC เน้นการลงทุนเพื่อพัฒนาด้านดิจิทัลเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อตอบรับ Digital Transformation โดยจะพิจารณาการลงทุนทั้งรูปแบบ Direct Investment ในสตาร์ทอัพรายต่างๆ โดยตรง และการลงทุนในกองทุน (Venture Capital) ต่างๆ ที่มีการลงทุนในสตาร์ทอัพ
อีกทั้งได้เปิดโครงการสตาร์ทอัพภายใน (Internal Startup) เพื่อสนับสนุนให้พนักงานฝึกฝนและพัฒนาทักษะในการทำงานร่วมกับธุรกิจสตาร์ทอัพที่เน้นความคล่องตัวและรวดเร็วได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ เอสซีจีคาดว่าในปีนี้จะใช้งบประมาณการลงทุนรวมด้านการพัฒนานวัตกรรมประมาณ 5,000 ล้านบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น