“เอสซีจี” เผยมูลค่าโครงการปิโตรเคมีครบวงจร หรือ Long Son Petrochemicals ประเทศเวียดนาม พุ่งแตะ 5.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเตรียมเซ็นจ้างผู้รับเหมาครึ่งหลังปีนี้คาดผลิตเชิงพาณิชย์ปี 65
รายงานข่าวจากบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือเอสซีจี แจ้งว่า บริษัท วีนา เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (VSCG) บริษัทย่อยที่เอสซีจีถือหุ้นทางอ้อมทั้งหมด ได้อนุมัติการดำเนินการลงทุนโครงการ Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) และ SCG ได้จัดทำหนังสือแจ้งผู้ชนะการประกวดราคา (Letter of Award) ให้แก่ผู้รับเหมาหลักในวันที่ 14 กรกฎาคม 2560 โดยคาดว่าจะสามารถลงนามในสัญญาจ้างผู้รับเหมาแบบเหมารวมเบ็ดเสร็จ (Turnkey) ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2560 โดยจะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 4 ปีครึ่ง และจะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2565
โครงการ LSP มีมูลค่าการลงทุนรวมคิดเป็นเงินประมาณ 5,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 188,000 ล้านบาท โดยจะมีโครงสร้างทางการเงินประกอบด้วยเงินกู้เป็นสกุลเงินต่างประเทศ (Foreign denominated debt) และเงินทุนในอัตราส่วน 60:40 โดยค่าใช้จ่ายลงทุนจะทยอยจ่ายไปตลอดช่วงระยะเวลาดำเนินโครงการ ทั้งนี้ เอสซีจีถือหุ้นทางอ้อมใน LSP ร้อยละ 71 (โดยบริษัท วีนา เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด ร้อยละ 53 และบริษัท ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) ร้อยละ 18) ในขณะที่ Vietnam Oil and Gas Group (PetroVietnam) ถือหุ้นร้อยละ 29
LSP เป็นโครงการปิโตรเคมีครบวงจรแห่งแรกของประเทศเวียดนาม มีความสามารถในการแข่งขันในเชิงธุรกิจเนื่องจากเป็นโครงการที่มีการเชื่อมโยงจากโรงงานปิโตรเคมีขั้นต้นถึงขั้นปลายครบวงจร มีความประหยัดจากขนาด (Economies of scale) และสามารถใช้วัตถุดิบได้อย่างยืดหยุ่น นอกจากนี้ LSP ยังมีการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยสนับสนุนการดำเนินกิจการ เช่น ท่าเรือน้ำลึก และสาธารณูปโภคต่างๆ ซึ่งมีมูลค่าประมาณร้อยละ 30 ของเงินลงทุนทั้งหมด
จุดเด่นของโครงการนี้ คือ การมีโรงงานผลิตเอทิลีนขนาดกำลังการผลิต 1 ล้านตันต่อปี ที่มีความยืดหยุ่นสูง โดยสามารถเลือกใช้ก๊าซร่วมกับแนฟทาเป็นวัตถุดิบในสัดส่วนต่างๆ เพื่อการผลิตโอเลฟินส์รวมกันได้สูงถึง 1.6 ล้านตันต่อปี สำหรับเทคโนโลยีในกระบวนการผลิตของ LSP ถือเป็นเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกที่ได้รับการยอมรับ ส่วนวัตถุดิบจะประกอบด้วยก๊าซอีเทนจากแหล่งภายในประเทศเวียดนาม ก๊าซโพรเพน และวัตถุดิบแนฟทาจากการนำเข้าภายใต้สัญญาซื้อขายวัตถุดิบในราคาตลาดที่แข่งขันได้ ซึ่งจะทำให้โรงงานมีความยืดหยุ่นสูง สามารถเลือกใช้ก๊าซเพื่อบริหารต้นทุนได้สูงสุดถึงร้อยละ 80 ของวัตถุดิบทั้งหมด นอกจากนี้การผลิตโพลิโอเลฟินส์ในขั้นปลายซึ่งประกอบด้วยโรงงาน High Density Polyethylene (HDPE), Linear Low Density Polyethylene (LLDPE) และ Polypropylene (PP) จะมีกำลังการผลิตโดยรวมใกล้เคียงกับโรงงานโอเลฟินส์
LSP ตั้งอยู่ห่างจากนครโฮจิมินห์ซึ่งเป็นตลาดหลักและเป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศเวียดนามเพียง 100 กิโลเมตร โดยในปี 2558 ประเทศเวียดนามนำเข้าผลิตภัณฑ์โพลิโอเลฟินส์ประมาณ 2.3 ล้านตัน และคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ดีในอนาคต ซึ่งเป็นกลยุทธ์การลงทุนตามวิสัยทัศน์ของเอสซีจีในการสร้างความยั่งยืนด้านคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในภูมิภาคอาเซียน