บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 2.มี.ค.60 ว่า อนุมัติให้บริษัท วีนา เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (VSCG) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ SCC ถือหุ้นทั้งหมด เข้าทำสัญญาซื้อขายหุ้นกับ QPI Vietnam Limited (QPIV) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ Qatar Petroleum International เพื่อซื้อหุ้นทั้งหมด 25% ของ QPIV ที่มีอยู่ใน Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) ซึ่งเป็นผู้ดำเนินโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม
ธุรกรรมดังกล่าวมีมูลค่า 36.1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.3 พันล้านบาท ซึ่งจะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นทั้งทางตรง และทางอ้อมของ SCC ใน LSP เพิ่มขึ้นเป็น 71% จากเดิม 46% โดยฝ่ายผู้ร่วมทุนเวียดนาม มีสัดส่วน 29% สำหรับแหล่งเงินทุนของโครงการนี้จะมีทั้งส่วนของผู้ถือหุ้น และเงินกู้ คาดว่าโครงการจะมีข้อสรุปเรื่องการลงทุน (Final Investment Decision) ภายในครึ่งแรกของปี 60 หลังจากนั้น จึงจะสรุปรายละเอียดของค่าใช้จ่ายในการลงทุน คาดว่าจะใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 5 ปี และจะเริ่มผลิตได้ในปี 64
LSP เป็นโครงการปิโตรเคมีครบวงจรแห่งแรกของเวียดนาม มีความสามารถในการแข่งขันในเชิงธุรกิจ เนื่องจากเป็นโครงการที่มีการเชื่อมโยงจากโรงงานปิโตรเคมีขั้นต้นถึงขั้นปลายครบวงจร มีความสามารถประหยัดจากขนาด (Economies of scale) และสามารถปรับเปลี่ยนการใช้วัถตุดิบเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจ เช่น ท่าเรือน้ำลึก และสาธารณูปโภคต่างๆ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 30% ของเงินลงทุนทั้งหมด
จุดเด่นของโครงการ คือ การมีโรงงานผลิตเอทิลีน ขนาดกำลังผลิต 1 ล้านตันต่อปี ที่มีความยืดหยุ่น สามารถเลือกใช้ก๊าซฯ กับแนฟทา เป็นวัตถุดิบในสัดส่วนต่างๆ เพื่อการผลิตโอเลฟินส์ รวมกันได้ถึง 1.6 ล้านตันต่อปี โดยสามารถใช้ก๊าซฯ เพื่อบริหารต้นทุนได้สูงสุดถึง 80% ของวัตถุดิบทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีโรงงานปิโตรเคมีขั้นปลายซึ่งผลิตโพลีโอเลฟินส์ (PE/PP) ที่มีกำลังการผลิตในปริมาณใกล้เคียงกันอีกด้วย LSP ตั้งอยู่ห่างจากนครโฮจิมินห์ ซึ่งเป็นตลาดหลัก และเป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศเวียดนาม เพียง 100 กิโลเมตร โดยในปี 58 ประเทศเวียดนาม มีการนำเข้าโพลีโอเลฟินส์ มากกว่า 2 ล้านตัน และคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ดีในอนาคต
ธุรกรรมดังกล่าวมีมูลค่า 36.1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.3 พันล้านบาท ซึ่งจะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นทั้งทางตรง และทางอ้อมของ SCC ใน LSP เพิ่มขึ้นเป็น 71% จากเดิม 46% โดยฝ่ายผู้ร่วมทุนเวียดนาม มีสัดส่วน 29% สำหรับแหล่งเงินทุนของโครงการนี้จะมีทั้งส่วนของผู้ถือหุ้น และเงินกู้ คาดว่าโครงการจะมีข้อสรุปเรื่องการลงทุน (Final Investment Decision) ภายในครึ่งแรกของปี 60 หลังจากนั้น จึงจะสรุปรายละเอียดของค่าใช้จ่ายในการลงทุน คาดว่าจะใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 5 ปี และจะเริ่มผลิตได้ในปี 64
LSP เป็นโครงการปิโตรเคมีครบวงจรแห่งแรกของเวียดนาม มีความสามารถในการแข่งขันในเชิงธุรกิจ เนื่องจากเป็นโครงการที่มีการเชื่อมโยงจากโรงงานปิโตรเคมีขั้นต้นถึงขั้นปลายครบวงจร มีความสามารถประหยัดจากขนาด (Economies of scale) และสามารถปรับเปลี่ยนการใช้วัถตุดิบเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจ เช่น ท่าเรือน้ำลึก และสาธารณูปโภคต่างๆ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 30% ของเงินลงทุนทั้งหมด
จุดเด่นของโครงการ คือ การมีโรงงานผลิตเอทิลีน ขนาดกำลังผลิต 1 ล้านตันต่อปี ที่มีความยืดหยุ่น สามารถเลือกใช้ก๊าซฯ กับแนฟทา เป็นวัตถุดิบในสัดส่วนต่างๆ เพื่อการผลิตโอเลฟินส์ รวมกันได้ถึง 1.6 ล้านตันต่อปี โดยสามารถใช้ก๊าซฯ เพื่อบริหารต้นทุนได้สูงสุดถึง 80% ของวัตถุดิบทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีโรงงานปิโตรเคมีขั้นปลายซึ่งผลิตโพลีโอเลฟินส์ (PE/PP) ที่มีกำลังการผลิตในปริมาณใกล้เคียงกันอีกด้วย LSP ตั้งอยู่ห่างจากนครโฮจิมินห์ ซึ่งเป็นตลาดหลัก และเป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศเวียดนาม เพียง 100 กิโลเมตร โดยในปี 58 ประเทศเวียดนาม มีการนำเข้าโพลีโอเลฟินส์ มากกว่า 2 ล้านตัน และคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ดีในอนาคต