เอสซีจี ตอกย้ำวิสัยทัศน์การเป็นผู้นำองค์กรนวัตกรรมอย่างยั่งยืนในอาเซียน เปิดตัว “Open Innovation Center” ศูนย์กลางการเปิดรับความร่วมมือด้านงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมกับภาครัฐ-เอกชน-การศึกษาทั่วโลก หวังเกิดเครือข่ายสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เร็วและดียิ่งกว่าด้วยความพร้อมด้านทรัพยากร และความทุ่มเทในการผลักดันงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อตอบสนองความต้องการและยกระดับคุณภาพชีวิตผู้บริโภค พร้อมเพิ่มขีดแข่งขันอุตฯ ไทยสู่อาเซียน
การเปิดตัว “Open Innovation Center” ของเอสซีจี เป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญของเหล่านักวิจัย ทั้งผู้ที่เคยมีความร่วมมือกับเอสซีจีอยู่แล้ว หรือผู้ที่มีแนวคิดใหม่ๆ ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่ออนาคต ตลอดจนผู้ที่ต้องการนวัตกรรมเพื่อใช้ในการพัฒนาหรือแก้ปัญหาของธุรกิจ เพราะเอสซีจีมีทั้งทรัพยากร เครื่องมือปฏิบัติการ ตลอดจนวิธีการทำงานที่เป็นระบบ มีประสิทธิภาพ และเป็นการทำงานร่วมกันกับผู้เชี่ยวชาญ จึงมีความรวดเร็วกว่าวิธีการทำ R&D ทั่วไปที่พร้อมเปิดกว้างให้ทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมเป็น Solution Partner ในการพัฒนาเทคโนโลยี กระบวนการผลิต และผลิตภัณฑ์
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในพิธีเปิด Open Innovation Center ของเอสซีจี ว่า “การจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดการผนึกกำลังของทุกภาคส่วน ภายใต้การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของโลกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นที่มาของโมเดลการขับเคลื่อน “ไทยแลนด์ 4.0” เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจไทยมีศักยภาพที่จะสามารถปรับเปลี่ยนจากประเทศรายได้ปานกลางเป็นประเทศรายได้สูง จากเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยประสิทธิภาพเป็นเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม และจากยุคของสังคมที่เน้นองค์ความรู้สู่ยุคของสังคมที่เน้นการยกระดับคุณภาพชีวิต ซึ่ง Open Innovation Center ของเอสซีจีแห่งนี้ สามารถเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญจากภาคเอกชน ที่จะช่วยทำให้เป้าหมายดังกล่าวของประเทศเกิดขึ้นได้จริง”
ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า “การวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ถือเป็นกระบวนการสำคัญในการผลักดันประเทศไทยให้สามารถเข้าสู่โครงสร้างเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ได้จริง จึงถือเป็นความน่ายินดีอย่างยิ่งสำหรับการเปิดตัว Open Innovation Center ของเอสซีจีแห่งนี้ เพราะเป็นการดำเนินงานที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน ในการร่วมกันต่อยอดองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อนำไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรม และยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยให้มีความพร้อมเข้าสู่การแข่งขันอย่างทัดเทียมในภูมิภาคอาเซียนต่อไป”
ด้านนายชลณัฐ ญาณารณพ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี และประธานคณะทำงาน SCG Innovation Committee กล่าวว่า ด้วยความรู้ความสามารถของบุคลากรชั้นนำด้านการวิจัยและพัฒนาในเอสซีจีที่มีกว่า 1,800 คน และการให้ความสำคัญกับงาน R&D ดังกล่าวโดยวางแผนทุ่มงบประมาณปีละกว่า 6,000 ล้านบาท ประกอบกับประสบการณ์และความเข้าใจในกลุ่มลูกค้าจากการดำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนาน ทั้งในตลาดประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ทำให้มั่นใจได้ว่า Open Innovation Center ของเอสซีจี มีศักยภาพที่จะสามารถเสริมความแข็งแกร่งของการพัฒนานวัตกรรมให้กับทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจของเอสซีจี รวมไปถึงพาร์ทเนอร์ที่สนใจ เพื่อสร้างสรรค์สินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น พร้อมตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลายมากขึ้นในปัจจุบันได้ดียิ่งขึ้น
“R&D ถือเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้แก่เอสซีจี โดยในปี 2559 ที่ผ่านมา เอสซีจีมียอดขายจากกลุ่ม HVA ถึง 1.6 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 38% ของรายได้จากการขายรวม วันนี้เรายังคงเดินหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง โดยนำความเชี่ยวชาญด้านการสร้างสรรค์นวัตกรรมมาพัฒนาเป็น Open Innovation Center ด้วยความมุ่งหวังจะใช้เป็นศูนย์กลางที่เปิดกว้างให้เกิดความร่วมมือด้าน R&D ระหว่างเอสซีจี กับทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา ของทั้งไทยและต่างประเทศ เพื่อดึงศักยภาพของแต่ละภาคส่วนมาแลกเปลี่ยนกัน ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อยกระดับสินค้าและบริการที่สามารถส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ผู้บริโภค” นายชลณัฐ กล่าว
นอกจากนี้ Open Innovation Center ของเอสซีจี ยังเปิดพื้นที่สนับสนุนการทำ R&D อย่างเป็นระบบให้แก่เครือข่ายสตาร์ทอัพจากทั่วโลกที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property) ในการดำเนินงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Sci-Tech) เพื่อร่วมพัฒนานวัตกรรมที่มีศักยภาพสูงกับเอสซีจี ในกลุ่ม Materials, Clean Tech และ Sensor & IoT ก่อนนำไปสู่การต่อยอดธุรกิจร่วมกันในอนาคตอีกด้วย
“เอสซีจี มุ่งหวังให้ Open Innovation Center สร้างประโยชน์กับทุกภาคส่วน ทั้งการผลักดันงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์อย่างเป็นรูปธรรมและการสร้างความยั่งยืนให้กับภาคธุรกิจด้วยการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การเปิดโอกาสให้ภาคการศึกษาได้มีประสบการณ์ในการทดลองใช้นวัตกรรมต่างๆ กับผู้บริโภคโดยตรง ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่า รวมทั้งการสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจไทยและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยสู่ระดับอาเซียน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของภาครัฐด้วย” นายชลณัฐ กล่าว