บทความ : Julia Stewart, MCC
แปล : สุณดา เปรมวราพร
ความฉลาดทางอารมณ์ (emotional intelligence) และ จิตวิทยาเชิงบวก (positive psychology ช่วยให้คนเราเกิดความคิดริเริ่มและสามารถแก้ปัญหาได้ดีเพื่อให้มีชีวิตที่น่าพอใจมากยิ่งขึ้น
มาดูกันว่าอะไรคือความแตกต่างระหว่าง 2 สิ่งนี้
เราสามารถดูความแตกต่างของ 2 สิ่งนี้ได้จากตัวอย่างของคำถามที่ใช้ในการโค้ช
จิตวิทยาเชิงบวก
• คนที่มีความสุข สุขภาพดีแข็งแรง และประสบความสำเร็จ เขาทำอะไรที่แตกต่างจากคนอื่นๆ
• คนบางคนผ่านวิกฤตปัญหาได้อย่างไร
• อะไรคือทัศนคติ และความรู้สึก เช่น ความรู้สึกสำนึกในบุญคุณ การคิดเชิงบวก ความอยากรู้ ที่มีความสัมพันธ์กันกับ ความสำเร็จที่มากขึ้น
• What do people who are happy, healthy and successful do differently that can be instructive to the rest of us?
• How do some people grow through adversity?
• What attitudes and feelings, such as gratitude, positivity and curiosity, are associated with greater success?
ความฉลาดทางอารมณ์
• คนเราสามารถรับรู้ แยกแยะ และเข้าใจอารมณ์ของตัวเองได้อย่างไร
• คนเราสามารถเรียนรู้ที่จะยอมรับความรู้สึกของคนอื่นได้อย่างไร
• คนเราสามารถจัดการอารมณ์และความสัมพันธ์เพื่อให้ประสบความสำเร็จมากขึ้นได้อย่างไร
• How can people perceive, distinguish and understand emotions in themselves?
• How can people learn to recognize emotions in others?
• How can people manage their emotions and relationships more successfully?
• As you can see, both sciences seek to help people become more effective in life, but they look at that through slightly different lenses.
คุณจะเห็นว่า ทั้งสองศาสตร์นี้ช่วยคนให้มีชีวิตที่ดีขึ้นได้ แต่ในมุมมองที่ต่างกันเล็กน้อย
จิตวิทยาเชิงบวก ค้นหาสิ่งที่ช่วยคนให้มีความสุขมากขึ้น ประสบความสำเร็จในชีวิตมากขึ้นและเป็นตัวตนของตัวเองที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นศาสตร์ที่เข้ากันได้อย่างดีกับการโค้ช
ความฉลาดทางอารมณ์ มุ่งเน้นที่ การแยกแยะ การเข้าใจ และการใช้อารมณ์ให้เกิดความคิดริเริ่มและสามารถแก้ปัญหาได้ดี ซึ่งเป็นอีกศาสตร์ที่เข้ากันได้อย่างดีกับการโค้ช นักวิจัยเรื่องความฉลาดทางอารมณ์ศึกษาว่าคนเราสามารถ สัมผัสรู้ แยกแยะ และเข้าใจความรู้สึก ทั้งในด้านบวกและด้านลบ ในตัวของเขาเองและผู้อื่น ได้อย่างไร
แม้ว่าการโค้ชจะใช้ทัศนคติและความรู้สึกเชิงบวกเป็นหลัก แต่เราก็ยังต้องการใช้ความฉลาดทางอารมณ์ในการโค้ชลูกค้าของเราและในบางครั้งลูกค้าก็ต้องการให้เราสอนเขาในเรื่องความฉลาดทางอารมณ์ด้วย เพื่อที่เขาสามารถที่จะควบคุมความรู้สึกและความสัมพันธ์ของเขาได้ในขณะที่เขากำลังลงมือทำตามแผนที่วางไว้เพื่อให้ประสบความสำเร็จและมีชีวิตที่มีความสุขมากขึ้น
ทั้งจิตวิทยาเชิงบวกและความฉลาดทางอารมณ์ช่วยทำให้การโค้ชดีมากขึ้น สิ่งสำคัญคือการศึกษาจิตวิทยาเชิงบวกและความฉลาดทางอารมณ์สามารถที่จะช่วยคุณเข้าใจได้ว่าสิ่งไหนที่ส่งผลดีและสิ่งไหนที่ส่งผลไม่ดีในการโค้ช
ตัวอย่างของการใช้จิตวิทยาเชิงบวกระหว่างการโค้ชเพื่อให้ลูกค้าสามารถที่จะยกระดับความฉลาดทางอารมณ์ได้ และช่วยให้ได้รับในสิ่งที่คุณต้องการ
ลูกค้าเข้ามารับการโค้ชด้วยความวิตกกังวล เพราะเขาเพิ่งทราบว่าบริษัทที่ทำงานอยู่กำลังถูกลดจำนวนคนลง เพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่ในฝ่ายของเขากำลังจะถูกเลิกจ้างงาน และเขาอาจจะตกงาน ซึ่งนับได้ว่าเขาอยู่ท่ามกลางสิ่งที่ Daniel Goleman ผู้เขียนหนังสือ Emotional Intelligence: Why it Can Matter More Than IQ (10th anniversary ed., Bantam Books, 2005) เรียกว่า “อาการที่สมองส่วนอื่นหยุดทำงาน อไมกดาลาจะทำงานส่วนเดียวเพื่อให้มนุษย์เอาตัวรอดในยามคับขัน” (“Amygdala Hijack”)
“อไมกดาลา" (amygdala) เป็น “สัญญาณเตือนภัย” ของสมองเรา มันจะได้รับการกระตุ้นจากภัยคุกคามหรือความเครียด และนำมาซึ่งความคิดที่คิดคาดเดาไปเองซึ่งเลวร้ายกว่าความเป็นจริง (pasterizing, futurizing, and catastrophizing thoughts) สิ่งสำคัญคือลูกค้าของคุณกำลังอยู่ท่ามกลางการตอบสนองด้วยการ “ต่อสู้ หรือ การหนี” ซึ่งเป็นการท้าทายคุณในฐานะโค้ช ถ้าคุณไม่เชี่ยวชาญเพียงพอ
โชคดีที่ว่าคุณสามารถใช้จิตวิทยาเชิงบวกในสถานการณ์นี้เพื่อให้ลูกค้าสามารถลดระดับความเครียดหรือภาวะการกระตุ้นจากภัยคุกคาม ณ ขณะนั้น ดังนั้น คุณสามารถที่จะเกิดความคิดริเริ่มและสามารถแก้ปัญหาได้ดีมากขึ้น และคุณก็สามารถนำเครื่องมือนี้ไปใช้ด้วยตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงการกระตุ้นการทำงานของสมองในส่วน อไมกดาลา (amygdala) และพัฒนาความคิด ”การเบี่ยงเบนไปในทางบวก” ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถกลับสู่สภาวะปกติและประสบความสำเร็จได้มากขึ้น
เริ่มต้นด้วยการรับฟังอย่างเข้าอกเข้าใจ และตั้งใจ คุณอาจจะแนะนำลูกค้าให้หายใจเข้าลึกๆ ไปพร้อมๆ กับคุณเพื่อให้เขาได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น และถามลูกค้าว่ามีเวลาไหนบ้างที่เขาอยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันนี้ และเขาทำได้ดี หรือผ่านมาได้ดี อะไรคือจุดแข็งที่เขานำมาใช้ในสถานการณ์นั้น เขาจะนำจุดแข็งนั้นมาใช้ในสถานการณ์ตอนนี้ได้อย่างไร ผลลัพธ์ที่เขาต้องการมากที่สุดคืออะไร
ช่วยเขาในการออกแบบแผนการปฏิบัติและการฝึกฝนที่แสดงให้เห็นถึงการลดลงของความคิดด้านลบและทำให้มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เช่น การเขียนบันทึกประจำวันทุกวัน หรือแบ่งปันเรื่องราวกับเพื่อนที่ไว้วางใจได้ในครั้งต่อไปหากเขาเกิดความวิตกกังวลอีก วิธีนี้คุณจะช่วยเขาให้เท่าทันความรู้สึกของตัวเองและสร้างความจริงใหม่ตามสิ่งที่คุณต้องการ ซึ่งจะทำให้เขามีแนวโน้มที่จะมีสถานการณ์ในปัจจุบันที่ดี ได้รับผลลัพธ์ในแบบที่เขาต้องการ และให้เขาปรับตัวได้มากขึ้นเพื่อที่จะประสบความสำเร็จหากพบกับความท้าทายในอนาคต
อาจสรุปได้ว่าโค้ชใช้ "คำถามใหม่ๆ" เพื่อช่วยโค้ชชี่ในการสร้าง "ความจริงใหม่ๆ"