xs
xsm
sm
md
lg

TMBเดินหน้าสร้างภาพลักษณ์องค์กร ตอกย้ำแนวคิด Make THE Difference “เปลี่ยน...เพื่อให้ชีวิตคุณดีขึ้น”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

จากซ้าย 1.หวานหวาน- อรุณณภา พาณิชจรูญ 2. ภารไดย ธีระธาดา  หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร   สื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร ทีเอ็มบี 3. ทฤษฎี ณ พัทลุง 4. มิ่งขวัญ พัฒนวงศ์ เจ้าหน้าที่บริหาร กลยุทธ์ภาพลักษณ์องค์กร ทีเอ็มบี
ทีเอ็มบีเดินหน้าสร้างภาพลักษณ์องค์กร เปิดตัว “เมค เดอะ ดิฟเฟอร์เรนซ์ 2014” (Make THE Difference) “ทีเอ็มบี เปลี่ยน...เพื่อให้ชีวิตคุณดีขึ้น” พร้อมออกภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ “ไม่หยุดถาม” สะท้อนแนวคิดให้คนไทยรู้จักท้าทายความเคยชินเดิมๆ กับทุกสิ่งรอบตัวเรา เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ดีขึ้น

ภารไดย ธีระธาดา หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร สื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร ทีเอ็มบี กล่าวว่า ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมานี้ ทีเอ็มบี สื่อสารแนวคิด Make THE Difference เริ่มจากการบอกเล่าเรื่องราวผ่านภาพยนตร์โฆษณา “ปันหยี เอฟซี” ในการมองเห็นสิ่งที่เป็นไปได้ บนความเป็นไปไม่ได้ กับการสร้างสนามฟุตบอลบนเกาะที่ไม่มีพื้นดิน เพื่อกระตุ้นพลังสนับสนุนการเปลี่ยนเพื่อสิ่งที่ดีขึ้น ต่อด้วย ภาพยนตร์ชุด “ทำไม...ต้องรอ” กระตุ้นให้เริ่มลงมือ ที่จะเปลี่ยนแปลงโดยไม่ต้องรีรอ

พร้อมๆ ไปกับการเปิดเว็บไซต์ makethedifference.org สังคมออนไลน์เพื่อการเปลี่ยนแปลง ให้เป็นคอมมูนิตี้ของคนที่มีวัตถุประสงค์เดียวกัน มาสร้างเป้าหมายที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลง ร่วมแชร์ไอเดีย ให้คอมมูนิตี้เป็นแรงสนับสนุน ช่วยพยุงเป้าหมายให้สำเร็จ

สำหรับในปีนี้แนวคิด Make THE Difference จะใกล้ตัวคนไทยมากขึ้นผ่านภาพยนตร์โฆษณา “ไม่หยุดถาม” จากการที่เรามองสิ่งต่างๆ รอบตัวจนชินชา กลายเป็นเรื่องปกติ ดังนั้น จุดเริ่มต้นที่จะ Make THE Difference อยู่ที่ “คำถาม”ด้วยการเพียงแค่ต้องเริ่มสร้างคำถาม หันมาตั้งคำถามกับตัวเองและสิ่งรอบข้าง ว่าเราจะทำให้ดีกว่านี้ได้หรือไม่ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องทนกับความคุ้นเคยเดิมๆ เพราะเพียงแค่นี้ ก็จะเปลี่ยน...เพื่อให้ชีวิตคุณดีขึ้น ได้อย่างง่ายดาย”

มิ่งขวัญ พัฒนวงศ์ เจ้าหน้าที่บริหารกลยุทธ์ภาพลักษณ์องค์กร ทีเอ็มบี กล่าวเสริมว่า หลังจากที่ TMB ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งกับการจุดประกายให้คนไทยได้คิดและส่งต่อปรัชญา การ Make THE Difference ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ปีนี้ทีเอ็มบีทำการบ้านกันอย่างหนัก เพราะต้องการที่จะอธิบายแนวคิด Make THE Difference ให้เข้าใจง่ายขึ้น และทำให้ทุกคนเห็นว่าเป็นเรื่องง่ายๆ ที่เริ่มต้นได้จากตัวเรา โดยมองจากสิ่งรอบๆ ตัวเรา แล้วตั้งคำถามว่า เราจะปรับปรุง หรือเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้นได้ ถ้าเราแค่เริ่มตั้งคำถามก็จะพบกับคำตอบ หรือหนทางที่ช่วยแก้ไขปัญหาอยู่เสมอเช่นเดียวกับทีเอ็มบีที่ไม่เคยหยุดตั้งคำถามเพื่อการดำเนินธุรกิจด้านการเงินหรือการเป็นธนาคารได้ดีขึ้น ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ เพราะทีเอ็มบี “ต้องการเปลี่ยน... เพื่อให้ชีวิตคุณดีขึ้น” นั่นเอง

ทฤษฎี ณ พัทลุง อัจฉริยะแห่งดนตรีคลาสสิกวัย 28 ปี ผู้ร่วมเจตนารมณ์ในการ Make THE Difference วาทยกรหนุ่มอายุน้อยที่สุดในประเทศไทยที่สร้างชื่อเสียงในแวดวงดนตรีระดับนานาชาติตั้งแต่ยังเยาว์ แม้จะไม่ได้ร่ำเรียนในสถาบันดนตรีชื่อดังได้ร่วมแชร์ประสบการณ์และบอกเล่าถึงจุดพลิกผันที่นำมาสู่การเปลี่ยน เผยว่า ความล้มเหลวเป็นจุดที่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่ออายุ 23 ปี ช่วงนั้นได้ทำหน้าที่ป็นผู้ช่วยคอนดักเตอร์ให้วงดนตรีที่ฝรั่งเศส

“ความที่เรามีความมั่นใจสูง ทำงานดนตรีอะไรก็สำเร็จลุล่วงตั้งแต่อายุ 20 ปี มีแนวทางเพลงของตัวเอง แต่นักดนตรีฝรั่งเศสปฏิเสธการร่วมงานกับเรา วันนั้นที่เค้าบอก เราถึงกับน้ำตาร่วง ความมั่นใจตกลงมาเป็นศูนย์ ความล้มเหลวนี้ ทำให้เกิดการเปลี่ยน ก็คือ มีจุดหมายในชีวิต ปรับปรุงตัวเองและไม่หยุดเรียนรู้ อย่าหลงชื่นชมไปกับความสำเร็จ และยังสอนให้รู้ว่า ต่อให้เราอยู่สูงแค่ไหน เราก็ตกลงมาได้ ความล้มเหลวยังเป็นบทเรียน ที่ผลักดันให้เราเรียนรู้เพิ่มเติม แม้ว่าเราจะเป็นวาทยกรมืออาชีพหรือโปรไฟล์ดีก็ตาม ส่วนเป้าหมายที่จะ Make THE Difference ก็คือจะนำความรู้และประสบการณ์ดนตรี ช่วยพัฒนาเยาวชนไทยในวงดุริยางค์สยามซิมโฟนีเอ็ตต้าให้มีความสามารถทางด้านดนตรีต่อไป”

ส่วน อรุณณภา พาณิชจรูญ หรือหวานหวาน นักแสดงสาว ร่วมแชร์ Make THE Difference กับเสน่ห์การปั่นจักรยานแบบเอ็กซ์ตรีม ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีกับชีวิต เผยถึงการตั้งเป้าหมายอย่างภูมิใจว่า “หวานเป็นคนที่ทำอะไรแล้วอยากจะรู้ว่าเราจะทำได้ขนาดไหน เมื่อเรามาไกลขนาดนี้แล้ว หวานเลยตั้งเป้าไว้ว่า อยากจะลงแข่งสนามชิงแชมป์ประเทศไทย อีก 2 ปีข้างหน้า แต่ต้องใช้การฝึกซ้อม สร้างพื้นฐานให้แน่นก่อน หลังจากที่ตั้งเป้า หวานก็ทุ่มเทกับการซ้อมมากขึ้น"

“ตอนนี้หวานรู้สึกมีความสุขกับการใช้ชีวิตมากจากการตั้งเป้าหมาย ซึ่งเราก็ไม่เคยคิดว่า เมื่อเริ่มต้นแล้วจะทำได้หรือไม่ แต่เราทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน อยู่ที่ว่าเราจะเลือกจัดการชีวิตอย่างไร หวานเองเมื่อก่อนเริ่มแค่ตั้งเป้าให้ตัวเอง แล้วลงมือทำ ตั้งใจเปลี่ยนแปลงความคิดเดิมๆ ที่ว่า ผิวจะเสีย ผิวจะดำหรือเปล่า เราก็แค่หาเสื้อ หาปลอกแขนมาป้องกันได้ พอมาถึงปัจจุบัน เราทำตามเป้าหมายที่วางไว้ ในระดับหนึ่งแล้ว คนก็มองเราเป็นแรงบันดาลใจ มันเป็นความสุข อย่างน้อยเราก็ได้ช่วยทำให้พวกเขามีสุขภาพดีขึ้น ทำให้เขาได้อยู่กับครอบครัวมากขึ้น ออกจากหน้าจอโทรศัพท์ ออกจากโลกโซเชียลเน็ตเวิร์คบ้าง เป็นการผ่อนคลาย มีชีวิตที่แฮปปี้ขึ้น”
กำลังโหลดความคิดเห็น