ท่ามกลางตลาดแรงงานที่มีการแข่งขันสูง นอกจากความตึงเครียดจากการทำงานอันกดดัน การปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรม ระบบและระเบียบภายในองค์กรแล้ว พนักงานยุคใหม่ที่คาดหวังจะเติบโตในองค์กรและฉายแสงศักยภาพในตัว ต้องมีการพัฒนาทักษะการใช้ชีวิต (Life Skills) ส่วนบุคคลด้วย
จากการศึกษาโดย บริษัท APM Group พบว่า แนวโน้มความต้องการด้านแรงงานในองค์กรยุคใหม่จะเน้นบุคลากรที่มีทักษะการใช้ชีวิต (Life Skills) มากกว่าทักษะด้านความรู้ (Knowledge Skills) เนื่องด้วยปัจจุบันอัตราการจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีและปริญญาโทมีมากขึ้น อีกทั้ง การเข้าถึงข้อมูลที่ง่ายดายส่งผลให้ระดับความรู้ของคนยุคใหม่ไม่ได้แตกต่างกันมาก
พนักงานยุคใหม่ที่เกิดในช่วงปี พ.ศ.2523 - 2542 หรือนักศึกษาที่เพิ่งจบการศึกษา ต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะปัญหาการปรับตัวเมื่อเข้าทำงาน เช่น การสื่อสารกับหัวหน้า ลูกค้า และเพื่อนร่วมงาน การพัฒนาศักยภาพของตนเอง และการจัดการกับอารมณ์หรือความกดดันที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นผลสืบเนื่องจากการที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ ใช้ชีวิตปฏิสัมพันธ์กับสังคมภายนอกน้อยกว่าอดีต โดยมีชีวิตในสังคมเสมือนจริงหรือสังคมออนไลน์เป็นส่วนใหญ่ ทำให้การสื่อสารแบบซึ่งหน้า (Confront) หรือการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในหลายบทบาทหน้าที่กลายเป็นเรื่องยาก
“กลุ่มคนเจนเนอร์เรชั่นวาย เติบโตขึ้นมาพร้อมกับเทคโนโลยีการสื่อสารที่รุดหน้า ชีวิตไม่อาจแยกขาดจากจอภาพ (Widescreen) ที่เชื่อมโยงชีวิตทำงานและเรื่องส่วนตัวเข้ากับระบบอินเทอร์เน็ต ส่งผลให้ขาดทักษะการใช้ชีวิตที่เอื้อประโยชน์ต่อการทำงาน ผลที่ได้คือขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคม หมกมุ่นแต่กับเนื้อหาข้อมูลที่ตนเองชื่นชอบ จึงทำให้คนที่มี Life Skill มากกว่าคนอื่นกลายเป็นที่ต้องการของเหล่าบรรดา HR ในองค์กร เพราะเป็นคนที่ใส่ใจด้านการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น มีความยืดหยุ่น มั่นคงทางอารมณ์ และพัฒนาได้”อริญญา เถลิงศรี กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอพีเอ็มกรุ๊ป กล่าว
APM Group จึงเสนอแนวทางการพัฒนาคนรุ่นใหม่หรือกลุ่ม Generation Y โดยมุ่งเน้นที่การพัฒนาทักษะการใช้ชีวิต หรือ 'Life Skill' เนื่องจากเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะทำให้กลุ่ม Generation Y ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จในระยะยาวต่อไป โดยแนวทางการพัฒนาประกอบด้วย 8 ด้าน
1. การพัฒนาทางอารมณ์ (Coping with emotion) คือการพัฒนาให้บุคคล มีศักยภาพในการจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาหรือการปฏิบัติงาน รวมถึงปัญหาที่ประสบในชีวิต
2. การคิดวิเคราะห์ (Critical Thinking) ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้บุคคลคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล ไม่ได้เริ่มจากการพัฒนากระบวนการคิด แต่ต้องเริ่มจาก 'การฟัง' เนื่องจากจะนำมาซึ่งการสั่งสมข้อมูล การจำแนกข้อมูลอย่างเป็นระบบ และเกิดการเชื่อมโยงข้อมูลที่ได้เป็นองค์ความรู้ในที่สุด
3. การคิดเชิงสร้างสรรค์ (Creative Thinking) กระบวนการคิดที่ดี ต้องเกิดจากการคิดในสภาวะที่บุคคลมีความพร้อมทั้งทางด้านสติปัญญา อารมณ์ และสภาวะแวดล้อม เนื่องจากจะทำให้สามารถรังสรรค์ความคิดออกมาได้อย่างเป็นระบบ ปราศจากสิ่งรบกวนที่อาจทำให้เกิดการบิดเบือนทางความคิด ทั้งนี้ จะต้องมีการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความพร้อมต่อสภาวการณ์ที่ต้องเผชิญในการทำงานอยู่เสมอ จุดย้ำสำคัญคือ การคิดเชิงสร้างสรรค์ไม่ใช่สิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิดหรือปัจจัยทางพันธุกรรม แต่เป็นสิ่งที่ฝึกฝนและพัฒนาได้
4. การเตรียมพร้อมต่อสภาวะ 'ความกดดัน' (Coping with stress) กลุ่มเจนเนอร์เรชั่นวาย ไม่ได้เผชิญเฉพาะความกดดันจากงานเพียงเท่านั้น แต่ยังต้องเผชิญกับวัฒนธรรมที่แตกต่างของกลุ่มคนในรุ่นก่อนหน้าที่มีอยู่เดิมในองค์กร ซึ่งมีแนวคิด ค่านิยม และวัฒนธรรมแตกต่างกัน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความกดดันที่ต้องเผชิญ กลุ่มเจนเนอร์เรชั่นวายจะต้องปรับตัวกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ทั้งนี้ องค์กรจะต้องเข้าใจและเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาดังกล่าว
5. การสื่อสาร (Communication) และการมีปฏิสัมพันธ์ (Interactive) กับบุคคลากรร่วมองค์กรและสังคมภายนอกเป็นสิ่งสำคัญ องค์กรที่มุ่งสู่ความสำเร็จในอนาคตต้องให้ความสำคัญกับการสื่อสาร โดยเฉพาะการสื่อสารภายในองค์กร เนื่องจากเป็นพื้นฐานในการสังเคราะห์องค์ความรู้และการปฏิบัติงานในด้านอื่นๆ ต่อไป
6. การตัดสินใจอย่างชาญฉลาด (Decision Making) บุคคลากรขององค์กรในทุกระดับ ต้องมีความสามารถในการตัดสินใจเลือกกระทำ เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องการข้อสรุปหรือแนวทางที่ชัดเจน 'การตัดสินใจ' เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะผู้บริหารตั้งแต่ระดับกลางถึงระดับสูง เป็นทักษะสำคัญที่ต้องสร้างให้เกิดขึ้นในกลุ่มคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะกลุ่มเจนเนอร์เรชั่นวายที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำขององค์กร ซึ่งต้องการอาศัย 'การตัดสินใจอย่างชาญฉลาด'
7. การแก้ปัญหา (Problem solving) การแก้ปัญหาต้องอาศัยทักษะอื่นๆ จากทุกข้อที่กล่าวมาในข้างต้น เป็นรากฐานสำคัญในการมุ่งแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด จนสามารถนำพาองค์กรก้าวพ้นจากจุดวิกฤติ หรือไต่ระดับสู่ความสำเร็จได้ในอนาคต
8. ความเข้าใจในผู้อื่น (Empathy) การรู้จักรับฟังและเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น เป็นคุณสมบัติสำคัญที่จะทำให้องค์กรดำเนินไปอย่างราบรื่น ความสามารถในการเข้าใจความคิด ความรู้สึกของผู้อื่น จึงเป็นทักษะที่บุคคลากรขององค์กรควรจะมี ไม่ว่าจะเป็นบุคคลากรในระดับไหน ล้วนต้องการความเข้าใจ ความเคารพซึ่งความเป็นมนุษย์ และยอมรับในการมีอยู่ของบุคคล
“สิ่งที่กล่าวมาล้วนเป็นทักษะสำคัญในการพัฒนาบุคคลไปสู่ศักยภาพสูงสุด ไม่เฉพาะการทำงาน ยังรวมถึงการดำเนินชีวิต ท้ายที่สุดการพัฒนาศักยภาพของบุคคลให้ก้าวไปสู่ขีดสูงสุด ต้องอาศัยทักษะการใช้ชีวิต (Life Skill) เป็นสำคัญ เพราะจะเป็นมิติที่ทำให้บุคคลากรและองค์กรเชื่อมผสานในวิสัยทัศน์ที่เป็นหนึ่งเดียว ส่งผลให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ก่อเกิดแรงขับเคลื่อนที่ทรงพลังซึ่งจะนำพาองค์ก้าวสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนต่อไป” อริญญา กล่าวทิ้งท้าย