xs
xsm
sm
md
lg

แนะ SMEs หาพันธมิตร-ขยายตลาด ตปท.รับมือ AEC

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ชี้ โจทย์ใหญ่ที่ SMEs ไทยต้องเตรียมรับมือคือ การปรับปรุงผลิตภาพแรงงานและเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการ เพื่อเตรียมแข่งขันใน AEC พร้อมเผยผลการศึกษา SCB Insight เส้นทางสู่ AEC… SMEs รุกรับอย่างไร?

ดร.สุทธาภา อมรวิวัฒน์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเปิด AEC แม้ว่าจะมีโอกาสทางการค้าการลงทุนที่กว้างขึ้น แต่ก็หมายถึงความท้าทายที่เพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจึงต้องเร่งปรับตัวทั้งเชิงรุกและรับเพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันผู้ประกอบการรายใหญ่ของไทยมีความพร้อมค่อนข้างมากแล้ว แต่ในส่วนของ SMEs ซึ่งมีบทบาททางเศรษฐกิจสูง ยังต้องปรับตัวอีกมากในการเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

รายงาน SCB Insight ฉบับนี้ร่วมมือจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในการจัดทำ Focus group ที่ช่วยให้ทาง EIC ได้แลกเปลี่ยนและรับฟังข้อคิดเห็นจากผู้ประกอบการ SMEs โดยตรงและครอบคลุมทุกภาคของประเทศไทย ซึ่งพบว่า SMEs ไทยกำลังเผชิญปัจจัยรุมเร้าทั้งจากภายในและภายนอกประเทศที่เปลี่ยนแปลงเร็วและรุนแรงขึ้น อาทิ การปรับขึ้นค่าแรง 300 บาท การหมุนเวียนของแรงงาน (turnover rate) จากการที่แรงงานมีฝีมือเคลื่อนย้ายไปสู่อุตสาหกรรมการผลิตขนาดใหญ่ ตลอดจนกระแสการเปลี่ยนแปลงในยุคของการติดต่อสื่อสารแบบดิจิตอล

จากการศึกษาถึงผลกระทบของการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ พบว่า การขึ้นค่าแรง 300 บาทส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อต้นทุนของผู้ประกอบการ โดยในส่วนของผลกระทบทางตรง ภาคธุรกิจที่มีแรงงานไม่มีทักษะเป็นสัดส่วนสูง หรือมีค่าแรงเป็นต้นทุนหลักจะได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ ภาคเกษตร ภาคบริการ เช่น ก่อสร้าง โรงแรม และภาคค้าส่งค้าปลีก
สำหรับผลกระทบทางอ้อม เกิดจากการส่งผ่านภาระต้นทุนที่สูงขึ้นไปยังธุรกิจต่อเนื่องในห่วงโซ่อุปทานด้วย โดยธุรกิจที่มีห่วงโซ่อุปทานที่ค่อนข้างยาวและสลับซับซ้อนได้รับผลกระทบทางอ้อมมากกว่า เนื่องจากต้องเผชิญกับการส่งผ่านภาระต้นทุนที่สูงขึ้นในรูปของการขึ้นราคาสินค้าตลอดทั้งสายห่วงโซ่อุปทาน เช่น ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม และยานยนต์และชิ้นส่วน

เมื่อพิจารณาผลกระทบทางตรงและทางอ้อมของทั้งระบบเศรษฐกิจเข้าด้วยกัน พบว่ากรณีที่ผู้ประกอบการผลักภาระต้นทุนได้ที่ 25-35% จะส่งผลให้ต้นทุนโดยรวมทั้งระบบสูงขึ้นเพียง 2.6% เนื่องจากผู้ประกอบการในแต่ละขั้นต้องแบกรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเอง ซึ่งอาจทำให้ผลตอบแทนของผู้ประกอบการดังกล่าวลดลงเฉลี่ย 4% ของรายได้ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับ EBITDA margin (กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและค่าเสื่อมราคา) ของ SMEs ที่ประมาณ 5-6% แล้ว SMEs ส่วนใหญ่จะมี EBITDA margin เหลืออยู่เพียง 1-2% ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานจริงก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการบริหารงานของแต่ละธุรกิจด้วยเช่นกัน

จากผลสำรวจ ผู้ประกอบการ SMEs ประเมินว่าการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 12% ซึ่งสูงกว่าผลกระทบต่อภาพรวมอุตสาหกรรม เนื่องจาก SMEs เป็นธุรกิจที่มีการใช้แรงงานเป็นสัดส่วนสูงและผลักภาระไปสู่ผู้บริโภคได้น้อยกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ โดยคาดว่าธุรกิจบริการจะได้รับผลกระทบมากที่สุด นอกจากนี้ SMEs ยังประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะธุรกิจที่ใช้แรงงานกึ่งทักษะ เพราะไม่สามารถดึงแรงงานต่างด้าวเข้ามาทดแทนได้

อย่างไรก็ตาม SMEs ส่วนใหญ่ได้เริ่มนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อลดต้นทุนค่าแรงในระยะยาว สำหรับประเด็นเรื่อง AEC นั้น SMEs ในภาคเกษตรและภาคการผลิตเห็นโอกาสส่งออกสินค้าไปขายในอาเซียนมากขึ้น สำหรับธุรกิจค้าส่งค้าปลีกและภาคบริการ เห็นโอกาสในการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ แต่ประเด็นที่ SMEs กังวลมากคือ คู่แข่งในอาเซียนที่จะเข้ามาแข่งขันมากขึ้น ซึ่ง SMEs ส่วนใหญ่ได้มีการปรับตัวแล้ว เช่น หาแหล่งวัตถุดิบราคาถูกในอาเซียน และพัฒนาปรับปรุงระบบต่างๆ ในองค์กร ซึ่งเป็นการปรับตัวที่เน้นเชิงรับมากกว่าเชิงรุก
การจะแข่งขันได้ในอนาคต SMEs ควรเริ่มนโยบายเชิงรุกให้มากขึ้น ซึ่งหมายถึงการมองหาโอกาสในตลาดใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการค้าชายแดน การลงทุนในต่างประเทศ หรือการจับกระแสของการเปลี่ยนแปลงในยุคโลกาภิวัตน์ เรื่องแรกที่ไม่ควรมองข้ามคือเรื่องของการค้าชายแดน ซึ่งมีมูลค่ากว่า 80% ของมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน และยังมีศักยภาพในการขยายตัวอีกมากจากเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้านที่มีแนวโน้มขยายตัวสูง
อีกทั้งยังมี AEC ที่จะเข้ามาช่วยเอื้ออำนวยความสะดวกและลดอุปสรรคให้การค้าการลงทุนมีความสะดวกมากขึ้นเรื่อยๆ ตลาดที่น่าสนใจคือพม่า ซึ่งเป็นตลาดค่อนข้างใหญ่ และยังมีความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดนของทั้งไทยและประเทศเพื่อนบ้านที่จะเป็นอีกจุดเริ่มต้นของความเจริญเติบโตด้านการค้าและการลงทุน และกำลังซื้อของผู้บริโภคต่อไป

“AEC จะเอื้ออำนวยให้ SMEs ขยายการลงทุนไปยังประเทศเพื่อนบ้านง่ายขึ้น ซึ่งจะช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรและต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการควรศึกษากฎระเบียบ ความต้องการของตลาดให้รอบคอบ และดูว่าธุรกิจของตัวเองมีข้อได้เปรียบด้านใด สิ่งที่สำคัญสำหรับ SMEs คือต้องหาพันธมิตรทางธุรกิจและเลือกประเภทธุรกิจให้สอดคล้องกับนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของประเทศนั้นๆ ซึ่งหากผู้ประกอบการเลือกลงทุนในธุรกิจที่ภาครัฐให้การสนับสนุนแล้ว จะช่วยลดอุปสรรคและทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนเพิ่มขึ้นอีกด้วย”

ดร.สุทธาภากล่าวต่อว่า การจับกระแสต่างๆ ก็เป็นอีกโอกาสหนึ่ง โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงกระแสการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งจะช่วยให้เจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม (niche market) ได้มากขึ้น เช่น กลุ่มธุรกิจสีเขียวสำหรับผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการใช้ social network ที่เอื้อให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้างได้ด้วยค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงนัก

“คงถึงเวลาแล้วที่ SMEs ไทยต้องปรับตัวในเชิงรุก พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส อาศัยแรงกดดันจากต้นทุนค่าแรงที่สูงขึ้นเป็นแรงผลักดันให้เร่งพัฒนาศักยภาพ เพราะการผลักภาระแบบเดิมๆ คงไม่สามารถทำได้ง่าย ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้นในระดับภูมิภาคและระดับโลก ขณะเดียวกัน SMEs ต้องออกจากตลาดเดิมๆ ในประเทศโดยหาช่องทางขยายรายได้ทางอื่น เพื่อชดเชยอัตรากำไรที่ลดลงจากต้นทุนที่สูงขึ้น ส่วนหนึ่งที่สามารถทำได้คือ การรวมกลุ่มเป็น cluster ซึ่งทาง SCB ได้ร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัดสัมมนาเพื่อนำเสนอ model และกลยุทธ์เพื่อให้ SMEs มีการรวมกลุ่มกันเพื่อยกระดับการแข่งขันของ SMEs ในอนาคต”
กำลังโหลดความคิดเห็น