ศรีสะเกษ - เหตุปะทะชายแดนไทย-เขมรยังตึงเครียด ผู้ว่าฯ ศรีสะเกษยกระดับบังคับใช้กฎหมาย สั่งอพยพ 3 อำเภอพื้นที่สีแดงทั้ง อ.กันทรลักษ์ อ.ภูสิงห์ และ อ.ขุนหาญ ฝ่าฝืนโทษจำคุกและปรับ ด้านชาวบ้านในศูนย์อพยพเริ่มคิดถึงบ้าน อยากให้สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็ว
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษยังคงตึงเครียดอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเช้ามืดของวันนี้ โดยมีรายงานการปะทะและสาดกระสุนเป็นระยะ เริ่มตั้งแต่เวลาประมาณ 04.00 น. ส่งผลให้บรรยากาศในพื้นที่ชายแดนยังอยู่ในภาวะเฝ้าระวังสูงสุด
ล่าสุดวันนี้ (15 ธ.ค.) นายอนุรัตน์ ธรรมประจำจิต ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งฝ่ายความมั่นคง หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมกำหนดแนวทางดูแลความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่เสี่ยง
ภายหลังการประชุม นายอนุรัตน์ ธรรมประจำจิต ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เปิดเผยว่าไม่ต้องการให้เกิดความสูญเสียแก่ประชาชนแม้แต่รายเดียว ได้เน้นย้ำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่สีแดงต้องอพยพออกจากพื้นที่ทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังพบว่ามีประชาชนบางส่วนตกหล่นและยังไม่ยอมออกจากพื้นที่ในช่วงแรก จังหวัดได้สั่งการไปยังอำเภอกันทรลักษ์ อำเภอภูสิงห์ และอำเภอขุนหาญ ให้บังคับใช้มาตรการทางกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 มาตรา 19 และมาตรา 28 โดยกำหนดให้ประชาชนต้องอพยพออกจากพื้นที่สีแดงทั้งหมด หากฝ่าฝืนจะมีโทษทั้งจำและปรับตามกฎหมาย
ขณะเดียวกัน บรรยากาศภายในศูนย์พักพิงในจังหวัดศรีสะเกษ พบว่าประชาชนที่อพยพมาอาศัยอยู่ต่างนั่งจับกลุ่มพูดคุย ติดตามข่าวสารสถานการณ์การปะทะตามแนวชายแดนอย่างใกล้ชิด ท่ามกลางความหวังว่าเหตุการณ์จะคลี่คลายลงโดยเร็ว เนื่องจากหลายคนเริ่มรู้สึกคิดถึงบ้านและอยากกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ
สอบถามนางสุมิตร เลิศศรี อายุ 59 ปี ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน เปิดเผยว่า ระหว่างอพยพออกจากหมู่บ้านได้ยินเสียงปืนดังตามหลังมาเป็นระยะ สร้างความหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ขณะนี้ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าสถานการณ์ในอนาคตจะเป็นอย่างไร อยากให้เหตุการณ์จบลงด้วยดีและหยุดยิงหากเป็นไปได้ แต่ถ้าไม่เป็นผล ก็อยากให้สู้กันให้มันจบๆ จะได้กลับไปทำมาหากินตามปกติ ตอนนี้คิดถึงบ้านมาก อยากกลับบ้านแล้ว
ทั้งนี้ จังหวัดศรีสะเกษยังคงขอความร่วมมือประชาชนให้ปฏิบัติตามคำสั่งอพยพอย่างเคร่งครัด พร้อมยืนยันว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดูแลความปลอดภัยและความเป็นอยู่ของผู้อพยพอย่างเต็มที่จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย


