แม่ฮ่องสอน – “เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำสาละวิน” ออกแถลงการณ์เรียกร้องไทยชะลอผลักดันชาวกะเหรี่ยงหนีภัยสงคราวกลับพม่า ระบุกองทัพเมียนมายังส่งโดรนตรวจการณ์-เครื่องบินรบยิง/ทิ้งระเบิดรัฐกะเหรี่ยงทุกวัน
วันนี้(8 พ.ค.64) เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำสาละวิน ได้ออกแถลงการณ์ด่วน เรียกร้องให้ชะลอการผลักดันชาวบ้านผู้หนีภัยสงครามกลับรัฐกะเหรี่ยง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ว่า ณ เวลานี้ ผู้หนีภัยจากการสู้รบชายแดนไทย-พม่า ริมฝั่งแม่น้ำสาละวิน ที่ได้ข้ามมายังฝั่งไทยที่ จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อขอพักพิงชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย ถูกทางการไทยพยายามเจรจากดดันให้กลับไป โดยอ้างเหตุผลว่าสถานการณ์ดีขึ้นแล้ว
ทั้งๆ ที่ชาวบ้านยังมีความกังวล และหวาดกลัวเรื่องความปลอดภัย เพราะมีทั้งเด็ก ผู้หญิง คนชรา คนพิการ แต่เจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติงานในพื้นที่ แจ้งกับชาวบ้านว่า..ข้างบนสั่งมาให้กลับแล้ว หากยังอยู่ก็จะกระทบต่อไทย กระทบต่อการค้าชายแดน และเศรษฐกิจ
และในเวลานี้ยังมีเครื่องบินรบของพม่า เข้ามาบินยิง-ทิ้งระเบิดโจมตีฐานกองกำลังกะเหรี่ยง ใกล้บริเวณพรมแดนไทยพม่า ใกล้หมู่บ้านของประชาชน และหมู่บ้านข้างในรัฐกะเหรี่ยง กองทัพพม่ายังใช้โดรนตรวจการณ์ และส่งเครื่องบินรบมาอยู่ตลอดทุกวัน
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดน ทางการไทย ต้องประเมินสถานการณ์ให้รอบด้าน บนฐานข้อมูลที่ถูกต้อง การข่าวที่เชื่อถือได้ และควรจะมีมาตรการผ่อนปรนในการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้หนีภัยจากการสู้รบตามหลักมนุษยธรรมเป็นการด่วน ควบคู่ไปกับการติดตามประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง บนหลักการความมั่นคงของชาติและหลักมนุษยธรรม
เครือข่ายฯ จึงขอเรียกร้องต่อทางการไทย รัฐบาลไทย และฝ่ายความมั่นคงไทย ดังนี้
1. ขอให้รัฐบาลไทย กระทรวงกลาโหม ในฐานะฝ่ายความมั่นคงไทย ประสานแจ้งเตือนไปยังกองทัพพม่า ให้ยุติการโจมตีทางอากาศตามแนวชายแดนไทย-พม่า ทันที กองทัพพม่าต้องยุติการโจมตีบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของประชาชน เพราะปฏิบัติการโจมตีโดยเครื่องบินของทหารพม่าที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนพลเรือนได้รับผลกระทบ จากเครื่องบินรบทิ้งระเบิด จนต้องลี้ภัยข้ามมายังฝั่งไทย เพื่อความปลอดภัย และยังส่งผลกระทบต่อชุมชนไทยตามชายแดนอีกด้วย
2. ขอให้ฝ่ายความมั่นคงไทย ผ่อนปรนให้ที่อาศัยพักพิงชั่วคราวแก่ผู้หนีภัยสงคราม เพื่อความปลอดภัย ตามหลักมนุษยธรรม และเปิดช่องทางในการเข้าให้ความช่วยเหลือเยียวยาด้านมนุษยธรรม เป็นการด่วน ไม่ควรประวิงเวลาให้เวลาล่วงเลยกับการประเมินสถานการณ์ช้าไปกว่านี้ เนื่องจากกลุ่มผู้หนีภัยที่พักพิงชั่วคราวเวลานี้มีทั้งเด็กแรกเกิด เด็กเล็ก ผู้ป่วย สตรีมีครรภ์ มีอาการเจ็บป่วย ท้องเสีย มาลาเรีย ฯลฯ
3. ขอให้มีมาตรการผ่อนปรน เปิดพื้นในการบริหารจัดการบูรณาการหลายฝ่าย ในการควบคุม ช่วยเหลือดูแลผู้ลี้ภัยตามหลักมนุษยธรรม ให้สาธารณะรับรู้กระบวนการบริหารจัดการแก้ไขปัญหา และสร้างความเข้าใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่อสาธารณะอย่างถูกต้อง มากกว่าการสกัดกั้น ปิดช่องทางในการสื่อสารและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
4. ขอให้จัดพื่นที่พักพิงชั่วคราวที่เหมาะปลอดภัยแก่ผู้หนีภัยจากการสู้รบ ตามหลักมนุษยธรรม เนื่องจากชาวบ้านเหล่านี้ล้วนเป็นกลุ่มเปราะบาง เด็ก คนแก่ ฯลฯ
5. ขอให้ยุติการผลักดันกลับไปสู่ความตาย การผลักดันผู้หนีภัยกลับสู่อันตราย ผิดจารีตระหว่างประเทศ หลักการไม่ส่งกลับ ถือเป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ที่จำเป็นต้องเคารพและปฏิบัติตาม ควรพิจารณาให้ชาวบ้านตัดสินใจกลับเอง ในห้วงเวลาที่เหมาะสมและปลอดภัย
ขณะที่กองกำลังKNU-KNLA ระบุว่านับตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม-5 พฤษภาคม กองทัพพม่าส่งเครื่องบินรบเข้ามาโจมตีทิ้งระเบิดในเขตกองพลที่ 5 อย่างน้อย 27 ครั้ง ทหารพม่ายิงปืน ค. เข้าโจมตีหมู่บ้านของประชาชน 575 ครั้ง มีประชาชนเสียชีวิต 14 ราย ได้รับบาดเจ็บ 28 คน บ้านเรือนถูกทำลายเสียหาย 20 หลัง โรงเรียนถูกทำลายจากการโจมตีของอากาศยาน 2 แห่ง