ศูนย์ข่าวศรีราชา - รองประธานกรรมการ บริษัท โตโยต้า นครชลบุรี จำกัด วิเคราะห์ตลาดรถยนต์ชลบุรีช่วง 4 เดือนสุดท้ายปี 63 กระเตื้องตามการลงทุนในโครงการ EEC ที่จะดันความต้องการใช้รถภาคขนส่ง ชี้โควิด-19 ทุบตลาดรวมในพื้นที่หาย 40%
ว่าที่ ร.ต.ยงสิน ยุวธานนท์ (ร.น.) รองประธานกรรมการบริษัท โตโยต้า นครชลบุรี จำกัด ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์โตโยต้าใน จ.ชลบุรี ระยอง และตราด เผยถึงภาพรวมตลาดรถยนต์ชลบุรีในช่วง 8 เดือนแรกปี 63 ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ว่าทำให้ตัวแทนจำหน่ายค่ายต่างๆ ไม่สามารถทำตลาดได้ตามเป้าหมายที่บริษัทแม่กำหนดไว้ และยังทำให้ยอดการจำหน่ายรถยนต์โดยรวมในพื้นที่หายไปถึง 40%
เห็นได้จากยอดการจำหน่ายรถยนต์ของ บริษัทโตโยต้า นครชลบุรี ซึ่งเป็น 1 ใน 155 ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศที่ได้รับมอบหมายจากบริษัท โตโยต้ามอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ให้เพิ่มเป้าการจำหน่ายรถยนต์ในปี 2563 อีก 10% จากเดิมที่ทำได้ 890 คันในปี 2562 เป็น 1,000 คัน แต่ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา กลับมียอดจำหน่ายเพียงกว่า 400 คันเท่านั้น
“ในครั้งแรกเรามั่นใจว่าปี 63 ตลาดรถยนต์ชลบุรี จะเติบโตได้ดีจากการเป็นจังหวัดที่อยู่ในโครงการ EEC ซึ่งจะได้รับอานิสงส์จากการลงทุนภาครัฐหลายแสนล้านบาทในการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงที่จะวิ่งผ่านชลบุรี ฉะเชิงเทรา และระยอง และจะทำให้การทำธุรกิจต่างๆ เติบโตตาม แต่โควิด-19 ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป โดยเฉพาะช่วงล็อกดาวน์ที่ตลาดรถยนต์หายไปเกือบครึ่ง”
โดยสภาวะที่เกิดขึ้นทำให้ภาคเอกชนเสียขวัญไม่ใช่แต่เฉพาะแต่การจำหน่ายรถยนต์เท่านั้น เนื่องจากวิกฤตต้มยำกุ้งที่เกิดขึ้นในปี 2540 ยังไม่รุนแรงเท่า เพราะวิกฤตดังกล่าวกระทบเฉพาะบางภาคอุตสาหกรรม แต่โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนไม่เว้นแม้แต่ภาคเกษตร จะมีก็เพียงการเติบโตในส่วนชอปปิ้งออนไลน์เท่านั้น แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้แพลตฟอร์มของไทย จึงทำให้รัฐบาลได้รายได้จากส่วนนี้น้อยมาก
ว่าที่ ร.ต.ยงสิน ยังเผยอีกว่า แม้แต่โตโยต้ามอเตอร์ ประเทศไทย ซึ่งเดิมตั้งเป้าหมายการจำหน่ายทั่วประเทศในปี 63 ไว้ที่ 310,000 คัน ก็ต้องปรับลดการจำหน่ายรถยนต์ทั้งประเทศไว้ที่ 255,000 คัน
เชื่อ EEC-โควิด-19 คลี่คลาย กระตุ้นตลาดรถยนต์ช่วง 4 เดือนสุดท้าย
อย่างไรก็ดี รองประธานกรรมการบริษัท โตโยต้า นครชลบุรี จำกัด ยังเชื่อว่า ช่วง 4 เดือนสุดท้ายปี 63 ตลาดรถยนต์ใน จ.ชลบุรี จะกระเตื้องขึ้นหลังรัฐบาล และ ศบค.ประกาศปลดล็อกจังหวัดต่างๆ จนทำให้เกิดการเดินทางและก่อให้เกิดกำลังซื้อโดยเฉพาะในภาคธุรกิจขนส่งที่มีความต้องการใช้รถยนต์กระบะเพื่อขนส่งผลไม้ในภาคตะวันออก
รวมทั้งอานิสงส์จากนโยบายผลักดันโครงการ EEC ที่จะทำให้ยอดการจำหน่ายรถยนต์โดยรวมในภาคตะวันออกเติบโตกว่าหลายๆ จังหวัด และเชื่อว่ายอดจำหน่ายรถยนต์ของบริษัทฯ ช่วงโค้งสุดท้ายจะมีไม่น้อยกว่า 300 คัน
“EEC มีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของภาคตะวันออก โดยเฉพาะยอดจำหน่ายรถกระบะที่นอกจากจะโตตามการจำหน่ายผลไม้และราคาผลไม้ที่พุ่งสูงขึ้นเห็นได้จากยอดจำหน่ายรถยนต์กระบะของบริษัทฯ ใน จ.ระยอง และตราด ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะทุเรียน ที่ในปีนี้ราคาสูงมาก และจีนยังมีความต้องการสูงแม้จะเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ก็ตาม”
ว่าที่ ร.ต.ยงสิน ยังเผยอีกว่า แม้สุดท้ายประเทศไทยจะมีความเสี่ยงต่อการระบาดรอบ 2 ของโควิด-19 แต่ยังเชื่อมั่นว่าตลาดรถยนต์ใน จ.ชลบุรี จะเติบโตโดยเฉพาะนโยบายการเปิดประเทศให้ต่างชาติบางกลุ่มเดินทางเข้ามาได้ในเดือน ต.ค.นี้ ที่จะทำให้ความต้องการใช้รถยนต์จากภาคขนส่งทั้งคนและผลไม้เติบโต
“การแข่งขันในตลาดรถยนต์ของ จ.ชลบุรี จะรุนแรงขึ้นอย่างแน่นอนเพราะทุกค่ายจะต้องผลักดันตลาดของตนเอง แต่ภาคธุรกิจยังเชื่อมั่นว่าหากเดือน ต.ค.นี้ รัฐบาลสามารถดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศเข้ามาได้ จะเป็นการกระตุ้นท่องเที่ยวเพื่อให้เศรษฐกิจเดิน และเกิดเม็ดเงินหมุนเวียนที่จะสร้างความเชื่อมั่นในการจับจ่ายโดยเฉพาะการตัดสินใจซื้อรถยนต์ของประชาชน”
ทั้งนี้ ปัจจุบัน โตโยต้ามีมาตรการดูแลลูกค้าที่นำรถยนต์เข้าใช้บริการในศูนย์ฯ ด้วยการฉีดพ่นรถยนต์เพื่อฆ่าเชื้อก่อนที่พนักงานจะนำไปซ่อม ป้องกันทั้งพนักงานและลูกค้าไม่ให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 รวมทั้งตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้าโชว์รูม และการขอความร่วมมือสวมหน้ากากอนามัย และยังมีแคมเปญพิเศษสำหรับบุคลากรทางการแพทย์อีกด้วย