ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ผู้ว่าฯ เชียงใหม่เกาะติดแก้ไฟเผาป่า กำชับจับตาเข้ม 7 อำเภอเผาซ้ำซาก สั่งให้เพิ่มชุดลาดตระเวน พร้อมดึงคนหาของป่าเข้ามาร่วมกับกำลังในพื้นที่ ควบคู่กับทำความเข้าใจกับปราชญ์ชาวบ้านและผู้นำจิตวิญญาณในชุมชนห้ามเผา
นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และนายคมสัน สุวรรณอัมพา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมประชุมคณะทำงานศูนย์บัญชาการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้ติดตามสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่ที่เกิดจุดความร้อนมากที่สุด 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภออมก๋อย เชียงดาว แม่แจ่ม แม่วาง และสะเมิง ตามลำดับ ผ่านระบบวิดีทัศน์ทางไกล (VDO Conference) เพื่อรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานให้หน่วยงานได้นำข้อมูลมาวางแผนปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในแต่ละวัน
โดยจุดความร้อนในเช้าวันที่ 6 เม.ย. พบว่ามีจำนวนลดลงเหลือเพียง 129 จุด จากวันก่อนหน้าช่วงเช้าที่มีอยู่ 223 จุด และช่วงบ่าย 165 จุด ส่งผลให้มีพื้นที่ป่าถูกไฟไหม้เสียหายไปเมื่อวานนี้ 1,389 ไร่ มีการแจ้งความดำเนินคดี 59 คดี ใน 16 อำเภอ โดยจุดความร้อนในวันนี้เกิดขึ้นในป่าสงวนแห่งชาติ 76 จุด ป่าอนุรักษ์ 52 จุด และเขต ส.ป.ก.อีก 1 จุด ซึ่งเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ทั้งทหาร ฝ่ายปกครอง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้นำชุมชนและชาวบ้านในพื้นที่เร่งระดมกำลังเข้าดับไฟอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้กำชับให้ทุกอำเภอบูรณาการทุกหน่วยงานในพื้นที่ ต้องมีเป้าหมายลดจุดความร้อนในทุกพื้นที่ให้ชัดเจน ให้นำข้อมูลมาปรับแผนแบบรายวัน อย่าให้เกิดจุดไหม้ซ้ำซากต่อเนื่อง โดยเฉพาะอำเภอเชียงดาวขอให้เพิ่มชุดลาดตระเวนในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ เพิ่มชุดผู้ช่วยในการลาดตระเวนที่นำเอามาจากบัญชีของผู้หาของป่าร่วมลาดตระเวนและเข้าไปดับไฟ ควบคู่กับการสร้างการรับรู้ที่ต้องทำเป็นระยะๆ โดยใช้ศักยภาพของกำลังชุมชน อาศัยการเข้าไปพูดคุยปราชญ์ชาวบ้าน ผู้นำจิตวิญญาณ ผู้นำชุมชน เพื่อทำความเข้าใจพี่น้องประชาชน รวมทั้งใช้หอกระจายข่าวประจำหมู่บ้านและการลงพื้นที่ในชุมชนด้วยตัวเอง และเพื่อดึงชุมชนมาร่วมเป็นเครือข่ายให้การชี้เบาะแสผู้ลักลอบเผาป่าเพื่อจับกุมมาดำเนินคดี
นอกจากนี้ ยังได้ย้ำให้ทุกอำเภอให้เร่งวางแผนการบริหารจัดการเชื้อเพลิง โดยระบุอำเภอ วัน เวลา และพื้นที่ให้ชัดเจน เพื่อข้อมูลนำมาหารือวางแผนในช่วงกลางเดือนนี้ เพื่อป้องกันหลังจากเสร็จสิ้นการประกาศห้ามเผา 30 เมษายนนี้ ประชาชนจะมีการเผาพร้อมกันทุกพื้นที่ จึงต้องมีการทำแนวทางข้อตกลงร่วมกันที่ชัดเจนต่อไป
ด้านรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้สั่งการให้ 7 อำเภอจับตาดูพื้นที่เสี่ยงเกิดไฟไหม้ป่าซ้ำซาก 83 จุด ใน 12 ตำบล คือ อำเภออมก๋อย 26 จุด ในตำบลยางเปียง ตำบลอมก๋อย ตำบลนาเกียน, อำเภอเชียงดาว 16 จุด ในตำบลเมืองงาย และตำบลทุ่งข้าวพวง, อำเภอแม่แจ่ม 13 จุด ในตำบลกองแขก และตำบลแม่น่าจร, อำเภอแม่วาง 9 จุด ในตำบลแม่วิน, อำเภอดอยเต่า 7 จุด ในตำบลมืดกา, อำเภอเวียงแหง 6 จุด ในตำบลเมืองแหง, อำเภอสะเมิง 5 จุด ในตำบลบ่อแก้ว และอำเภอฝาง 4 จุด ในตำบลม่อนปิน ซึ่งเกิดไฟไหม้ป่าซ้ำซากบนภูเขาสูงชัน และเป็นเหวลึกยากต่อการเข้าถึง จึงได้กำชับให้เร่งประเมินสถานการณ์และวางแผนการดับไฟให้ดี พร้อมเตรียมเฮลิคอปเตอร์ ทั้ง MI-17 ของกองทัพบก, KA32 ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกรมฝนหลวงและการบินเกษตร พร้อมขึ้นบินโปรยน้ำดับไฟได้ทันทีเมื่อได้รับการร้องขอ
โดยย้ำให้แต่ละอำเภอเร่งวิเคราะห์จุดความร้อนในพื้นที่ หากประเมินแล้วไม่สามารถเข้าดับได้ ขอให้ประสานจังหวัดมาในตอนเช้าเพื่อเร่งนำอากาศยานเข้าไปสนับสนุนโดยด่วน อย่าปล่อยให้ลุกไหม้เกิน 2 วันเพราะจะเป็นจุดไหม้ซ้ำซากทันที
ส่วนของการดับไฟในเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ได้ใช้รถบรรทุกน้ำเข้าไปฉีดน้ำในจุดที่ไฟยังคุกรุ่นอยู่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการลุกไหม้ซ้ำอีก ส่วนการใช้เฮลิคอปเตอร์เข้าสนับสนุนการดับไฟ เมื่อวานนี้ได้นำเฮลิคอปเตอร์ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเข้าปฏิบัติงานที่อำเภอแม่ริม ซึ่งผลการปฏิบัติงานผ่านไปด้วยดี และวันนี้จะได้ดำเนินการขึ้นบินเพื่อดับไฟป่าตามจุดต่างๆ ที่เกิด Hotspot โดยพิจารณาตามความเหมาะสม เช่น ระยะทางปฏิบัติการไม่ไกลเกินไป มีแหล่งน้ำใกล้เคียง และคำนึงถึงความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่เป็นหลัก