หนองคาย-อุกอาจ! มือปืนโหดยิงกำนันหญิงนักพัฒนาตำบลผาตั้ง จ.หนองคาย ดับคาบ้าน ทำทีมาซื้อเครื่องดื่มชูกำลัง ก่อนใช้ปืนยิงขมับเสียชีวิต ตำรวจคาดปมข้อพิพาทกับเจ้าของที่ดิน และปมเงินวัดหาย เร่งเช็คเส้นทางหลบหนีจัดชุดไล่ล่า
วันนี้ (1ก.พ.63) เมื่อเวลา 09.30 น. ร.ต.อ.อุบล วงศ์คำชัย รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.สังคม จ.หนองคาย รับแจ้งคนถูกยิงเสียชีวิต ที่บ้านดงต้อง ต.ผาตั้ง จึงไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วย พ.ต.อ.ณรงค์ ตันดี ผกก.สภ.สังคม, พ.ต.ท.ปัตตะพงษ์ พัฒนิบูลย์ รองผกก.สส., พ.ต.อ.ญ.เพียงหทัย สุพล ผกก.พิสูจน์หลักฐานจังหวัดหนองคาย, น.ส.ศิริกัลยา กิจรักษา นายอำเภอสังคม แพทย์เวรโรงพยาบาลสังคม และหน่วยกู้ภัยประจักษ์หนองคาย
ที่เกิดเหตุเป็นบ้านสองชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ เลขที่ 152 หมู่ 6 บ้านดงต้อง ต.ผาตั้ง อ.สังคม จ.หนองคาย ชั้นล่างเปิดเป็นร้านขายของชำ บริเวณห้องครัว ด้านข้างของบ้าน พบศพนางกรรณิการ์ วงค์ศิริ อายุ 52 ปี เป็นกำนันตำบลผาตั้ง ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า กำนันเตี้ย สวมเสื้อแขนยาวสีม่วง กางเกงขายาวสีดำ นอนหงายเสียชีวิต เลือดไหลนองเต็มพื้น ใกล้กันพบปลอกกระสุนปืนขนาด 11 ม.ม. ตกอยู่ 1 ปลอก และหัวกระสุน 11 ม.ม. 1 หัว ชันสูตรพบว่านางกรรณิการ์ ถูกยิงเข้าที่ขมับขวา 1 นัด กระสุนฝังใน เสียชีวิตทันที
ตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดพบว่า ช่วงเวลาประมาณ 09.27 น. ขณะที่นายพิเดช วงค์ศิริ อายุ 53 ปี สามีผู้ตายขี่รถจักรยานยนต์พ่วงข้าง พาหลานสาวออกจากบ้าน จังหวะที่สามีผู้ตายขี่รถออกไป ได้มีคนร้ายเป็นชาย สูงประมาณ 170 เซนติเมตร สวมเสื้อยืดแขนยาวสีดำ กางเกงขายาวสีเขียวขี้ม้า สวมหมวกกันน็อคเต็มใบสีน้ำเงิน ขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟ สีแดง กลางเก่ากลางใหม่ มีคันเบ็ดอยู่หน้ารถ ขี่รถมาวกเข้าทักทายร้านน้ำแข็งใส เยื้องกับบ้านผู้ตาย
แล้วขี่รถมาจอดหน้าบ้านต่อจากรถของสามีผู้ตาย จากนั้นคนร้ายได้ทำทีเข้าไปซื้อเครื่องดื่มชูกำลัง พอนางกรรณิการ์ ผู้ตาย เดินมาขายของให้ แล้วเดินกลับไปในครัว คนร้ายได้เดินตามไปแล้วใช้อาวุธปืนที่พกไว้บริเวณเอวข้างซ้าย ยิงไปที่นางกรรณิการ์ 2 นัด แล้วเดินออกจากบ้าน ขึ้นรถจักรยานยนต์ขี่ออกไป โดยมุ่งหน้าไปทางบ้านลาดหอคำ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
ด้านนายพิเดช วงค์ศิริ สามีผู้ตาย เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุตนจะพาหลานสาวไปบ้านญาติท้ายหมู่บ้าน ภรรยาอยู่บ้านคนเดียว ไม่นานญาติก็โทรศัพท์มาบอกว่าภรรยาถูกยิงเสียชีวิต จึงรีบกลับบ้าน ตกใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเหตุร้ายกับภรรยา ซึ่งภรรยาเป็นกำนันตำบลผาตั้งมาได้ 3 ปี ตั้งใจทำงานมาโดยตลอด ชอบช่วยเหลือชาวบ้าน
ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2559 ที่วัดถ้ำดินเพียง มีการทำบุญกฐิน ตนกับภรรยาเป็นกรรมการวัด แล้วเกิดมีปัญหาเงินหายไป 85,000 บาท ก็ได้สอบถามและพยายามติดตามเงินกลับมา จนเรื่องจบไปแล้ว ต่อมาเมื่อเร็วๆนี้ ทราบว่าภรรยาไปช่วยชาวบ้านเจราจากับเจ้าของที่ดินรายหนึ่ง ซึ่งปิดถนนทางเข้าสวนของชาวบ้าน จนเกิดมีปัญหากันขึ้น
ขณะที่นางสาวธนภา สาวิกัน อายุ 38 ปี น้องสาวผู้ตาย กล่าวว่า เมื่อปี 2562 มีชาวบ้านมาร้องเรียนขอให้กำนันช่วยเหลือเพราะถูกเจ้าของที่ดิน อ้างสิทธิ สปก. ปิดทางสัญจรชาวบ้านที่ใช้เดินทางผ่านไปไร่นา ไม่ให้ชาวบ้านผ่านทาง ทั้งที่เคยสัญจรมานานหลายสิบปี พี่สาวก็ไปช่วยเจรจา จนมีการนัดเจ้าหน้าที่ สปก.มาตรวจสอบกรรมสิทธิ์ที่ดิน เพื่อหาทางช่วยเหลือชาวบ้าน
กระทั่งล่าสุดเมื่อวันที่ 27 ม.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการนัดพูดคุยหาทางออกที่ อบต.ผาตั้ง วันนั้นพี่สาวมาเล่าให้ฟังว่า เกิดการทะเลาะกับเจ้าของที่ดิน จนเจรจากันไม่ได้ แก้ปัญหาไม่สำเร็จ ซึ่งตนคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นชนวนเหตุให้พี่สาวถูกฆ่าตาย เพราะพี่สาวไม่ได้มีปัญหาเรื่องอื่นแต่อย่างใด
นางสาวเฟื่องฟ้า สาวิกัน อายุ 31 ปี หลานสาวผู้ตาย ซึ่งเห็นเหตุการณ์ บอกว่าตนเห็นรถจักรยานยนต์สีแดง มาจอดอยู่หน้าบ้าน นึกว่าเป็นลูกค้ามาซื้อของตามปกติ ไม่นานก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด จากนั้นเห็นผู้ชายสวมหมวกกันน็อคเต็มใบ ขี่รถจักรยานยนต์ออกไปจากบ้าน ตนจึงรีบวิ่งมาดู ก็เห็นกำนัน ถูกยิงเสียชีวิตแล้ว
หลังเกิดเหตุ พ.ต.อ.ณรงค์ ตันดี ผกก.สภ.สังคม เปิดเผยว่า ผู้ตายเป็นกำนันนักพัฒนา ชอบช่วยเหลือชาวบ้าน ชาวบ้านรักใคร่ดี ซึ่งจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิด ที่บ้านผู้ตายติดตั้งไว้ 6 ตัว แต่ไม่มีตัวไหนหันภาพไปทางห้องครัว ทำให้จับภาพขณะคนร้ายก่อเหตุไม่ได้ เห็นเพียงจังหวะก่อนหน้าที่คนร้ายขี่รถเข้ามา แล้วมาทำทีซื้อของ แล้วขี่รถออกไป ซึ่งได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.สังคม และประสานชุดสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดหนองคายมาช่วยอีกทางหนึ่ง
จะมีการเช็คเส้นทางหลบหนี ประสานกับพื้นที่ สภ.บ้านผือ ซึ่งอยู่ใกล้กัน ตรวจสอบช่วยอีกทางหนึ่ง เบื้องต้นให้น้ำหนักปมสังหารไปที่การขัดแย้งเรื่องที่ดิน กับปัญหาทางวัด เป็นหลักก่อน และจะสอบสวนเพิ่มเติมว่ามีประเด็นอื่นๆ อีกหรือไม่ คดีนี้ผู้บังคับบัญชาได้กำชับให้ติดตามอย่างใกล้ชิดเพราะเป็นเหตุอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญของประชาชนในพื้นที่ ต้องเร่งล่าตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีให้ได้