ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ชุมชนล่ามช้างลั่นสู้ถึงที่สุดทวงคืนที่ดินวัดร้างที่เอกชนเช่าจ่อผุดโรงแรม แฉซื้อสิทธิ์การเช่ากัน 15 ล้าน แต่ค่าเช่าเฉลี่ยต่อตารางวาเพียงปีละ 79.6 บาทเท่านั้น ถูกกว่าค่าเช่าที่ขายของตลาดนัดเพียงวันเดียว
นายวีระวิทย์ แสงจักร อายุ 61 ปี กรรมการชุมชนล่ามช้าง ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ แสดงความเห็นถึงกรณีที่มีข่าวว่าเอกชนรายหนึ่งทำการเช่าที่ดินวัดร้างจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งอยู่ติดกับวัดล่ามช้าง และเคยเป็นโรงเรียนอนุศึกษาที่ปิดกิจการไปแล้วเมื่อ 5-6 ปีที่แล้วว่า ชุมชนล่ามช้างไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับความพยายามที่จะมีการเปิดกิจการโรงแรมบนที่ดินดังกล่าว เพราะไม่มีความเหมาะสมและไม่เป็นการสมควรอย่างยิ่ง
ทั้งนี้เนื่องจากที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินธรณีสงฆ์ แม้จะเป็นวัดร้างก็ตาม และเคยเป็นที่ตั้งโรงเรียน ซึ่งก่อตั้งขึ้นมาได้เพราะทางวัดล่ามช้างแบ่งพื้นที่ที่เคยเป็นผืนเดียวกันให้เปิดกิจการโรงเรียน โดยที่อาคารเรียนยังสร้างขึ้นมาจากเงินสนับสนุนของวัดล่ามช้างและเงินส่วนตัวของอดีตเจ้าอาวาส รวมทั้งเงินที่ชุมชนและผู้ปกครองช่วยกันบริจาคสนับสนุนเพื่อให้ชุมชนมีโรงเรียนและลูกหลานมีที่เรียนใกล้บ้าน ดังนั้นหากโรงเรียนเลิกกิจการแล้วควรจะมีการปรึกษาวัดและชุมชน ไม่ใช่นำสิทธิการเช่าไปซื้อขาย
ขณะเดียวกัน กรรมการชุมชนล่ามช้างระบุว่า ตามข้อมูลที่ได้รับมาทราบว่าเอกชนรายนี้ซื้อสิทธิการเช่าจากผู้เช่ารายเก่าในราคา 15 ล้านบาท และทำสัญญาเช่าที่ดินแปลงนี้เนื้อที่ 754 ตารางวา กับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในอัตราปีละ 60,049 บาท ซึ่งเป็นค่าเช่าที่ถือว่าถูกมาก เพราะเฉลี่ยแล้วเสียค่าเช่าต่อปีเพียงตารางวาละประมาณ 79.6 บาทเท่านั้น ซึ่งถูกยิ่งกว่าค่าเช่าพื้นที่ขายของตามตลาดนัดเพียงวันเดียวเสียอีก ทั้งที่เป็นที่ดินทำเลทองกลางเมือง และยังไม่นับรวมในส่วนของอาคารที่ปัจจุบันไม่สามารถสร้างได้ด้วยเงินทุน 15 ล้านบาทอย่างแน่นอน
นายวีระวิทย์ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า การทำสัญญาเช่าของผู้เช่ารายใหม่กับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติอาจจะมีความไม่ชอบมาพากลหรือไม่ เพราะตามข้อมูลที่ได้รับพบว่าสัญญามีการระบุเพียงการเช่าที่ดิน แต่ไม่มีในส่วนของอาคารเลย อย่างไรตาม เมื่อไปยื่นขออนุญาตเกี่ยวกับการก่อสร้างกลับมีการขอดัดแปลงอาคาร
ทั้งนี้ ในส่วนของวัดและชุมชนยืนยันว่าจะคัดค้านกรณีจนถึงที่สุดเพื่อให้มีการคืนที่ดินแปลงนี้กลับสู่วัดและชุมชนเพื่อใช้ประโยชน์ส่วนรวมของชุมชนและเมืองเชียงใหม่ ไม่ใช่ทำธุรกิจส่วนตัวและแสวงหาผลกำไรเชิงพาณิชย์