ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - เอาอีกแล้ว! ชาวชุมชนข้องใจ เอกชนยื่นขอสร้างอาคารในที่ดินวัดร้างเกือบ 2 ไร่ข้าง “วัดล่ามช้าง” กลางเมืองเชียงใหม่ อายุเก่าหลายร้อยปี หวั่นทำเป็นโรงแรม หลังปีที่แล้วเคยโพสต์ขายสิทธิ์การเช่ายาว 30 ปี ในราคาสูง 30-50 ล้านบาท
รายงานจากจังหวัดเชียงใหม่ แจ้งว่า ขณะนี้ชาวบ้านในชุมชนล่ามช้าง ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ กำลังวิพากษ์วิจารณ์ความเหมาะสมและเกิดความไม่พอใจอย่างยิ่งจากกรณีที่มีกระแสข่าวว่าเวลานี้มีเอกชนรายหนึ่งกำลังยื่นขออนุญาตก่อสร้างโรงแรม บนที่ดินพื้นที่เกือบ 2 ไร่ ที่เคยเป็นโรงเรียนอนุศึกษา ที่ตั้งอยู่ติดกับวัดล่ามช้าง
ซึ่งที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นวัดร้างชื่อวัดต้นปูน และเป็นที่ดินสาธารณะที่อยู่ในความรับผิดชอบดูแลของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยให้เอกชนเช่าใช้ประโยชน์ และในสัญญาเช่ามีการระบุวัตถุประสงค์ด้วยว่าเพื่อประกอบกิจการโรงเรียน แต่ปรากฏว่า เอกชนรายเดิมน่าจะมีการขายสิทธิ์การเช่าให้กับเอกชนรายใหม่ และมีการยื่นขออนุญาตก่อสร้างโรงแรม ซึ่งชาวบ้านเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะที่ดินดังกล่าวเป็นวัดร้าง หากไม่ได้ใช้ประโยชน์เป็นโรงเรียนแล้ว ควรจะใช้ประโยชน์สาธารณะมากกว่านำไปแสวงหาประโยชน์เชิงพาณิชย์
ล่าสุด วันนี้ (30 ก.ค.61) พระครูปลัดอานนท์ วิสุทโธ เจ้าอาวาสวัดล่ามช้าง ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นวัดร้างชื่อว่าวัดต้นปูน ที่ในอดีตเป็นที่ดินแปลงเดียวกับวัดล่ามช้าง ซึ่งต่างเป็นหนึ่งในวัดเก่าแก่ของเชียงใหม่อายุ 600-700 ปี แต่เมื่อประมาณปี พ.ศ.2500 ได้มีผู้มาขอเช่าใช้ที่ดินดังกล่าวจากทางวัดเพื่อทำเป็นโรงเรียนโดยที่อดีตเจ้าอาวาสเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อชุมชนที่จะให้ลูกหลานมีที่เรียนใกล้บ้าน จึงยินยอม และยังให้การสนับสนุนต่างๆ กับทางโรงเรียนด้วย เช่น ให้เงินสร้างอาคาร เป็นต้น กระทั่งประมาณ ปี พ.ศ.2557-2558 โรงเรียนดังกล่าวได้มีการปิดตัวลงและมีการเปลี่ยนผู้เช่าเป็นรายใหม่ที่เช่าที่ดินนี้จากสำนักงานพระพุทธศาสนาที่เป็นผู้ดูแลบริหารจัดการแทนกรมการศาสนา ซึ่งช่วงนั้นพบว่าผู้เช่ารายใหม่มีความพยายามที่จะเปิดกิจการโรงแรมแทนโรงเรียน แต่ชาวบ้านในชุมชนคัดค้าน จึงได้มีการยุติลงไป
ต่อมาเมื่อปี 2560 พบว่า ลงประกาศโฆษณาในโซเชียลมีเดียอีกว่า ให้เช่าที่ดินแปลงดังกล่าว ระยะยาว 30 ปี ในราคา 30 ล้านบาท หรือซื้อสิทธิ์การเช่าในราคา 50 ล้านบาท ระบุว่า ที่ดิน 1 ไร่ 3 งาน 54 ตารางวา พร้อมอาคาร 7 หลัง ที่กำลังปรับปรุงเป็นโรงแรมที่พัก ซึ่งชาวบ้านได้ทักท้วงและคัดค้านอีกครั้งจนเรื่องเงียบไป จนกระทั่งล่าสุดมีข้อมูลว่าขณะนี้ที่ดินแปลงดังกล่าวมีผู้เช่ารายใหม่แล้ว และได้ยื่นเรื่องขออนุญาตก่อสร้างกับเทศบาลนครเชียงใหม่แล้ว แจ้งว่า จะก่อสร้างอาคารเพื่อเป็นโรงเรียนสอนการโรงแรม ซึ่งชาวบ้านที่ทราบเรื่องต่างเกิดความเคลือบแคลงสงสัยและข้องใจอย่างมาก โดยไม่เชื่อว่าจะมีการเปิดเป็นโรงเรียนสอนการโรงแรมอย่างที่แจ้ง และต้องการให้มีการตรวจสอบในเรื่องนี้
เจ้าอาวาสวัดล่ามช้าง กล่าวว่า ที่ผ่านมา ในช่วงที่โรงเรียนที่ตั้งอยู่บนที่ดินดังกล่าวปิดตัวลง ทางวัดเคยพยายามที่จะขอเช่าที่ดินแปลงดังกล่าวจากทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแล้ว เพราะเสียค่าเช่าเพียงปีละประมาณ 60,000 บาท เท่านั้น เพื่อใช้ประโยชน์ทางศาสนาและชุมชน รวมทั้งเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเมืองเชียงใหม่ เพราะทั้งวัดล่ามช้างและวัดต้นปูนต่างเป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยพญามังราย สร้างเมืองเชียงใหม่ และกำลังมีการผลักดันให้เชียงใหม่เป็นเมืองมรกดกโลก แต่ได้รับการปฏิเสธจากสำนักงานพระพุทธศาสนา อ้างว่า ผู้เช่ารายเดิมยังไม่หมดสัญญา ซึ่งไม่เข้าใจว่าแล้วเหตุใดในเวลาต่อมาจึงมีการเปลี่ยนผู้เช่าได้ และเตรียมจะมีการสร้างเป็นโรงเรียนสอนการโรงแรมด้วย โดยเบื้องต้นทางชุมชนล่ามช้างและวัดต้องการเรียกร้องให้สำนักงานพระพุทธศาสนา ตรวจสอบเรื่องดังกล่าว และพิจารณาทบทวนเกี่ยวกับการให้เช่าที่ดินวัดร้างดังกล่าว เพื่อให้มีการนำไปใช้ประโยชน์ต่อสาธารณะ ไม่ใช่การแสวงหาประโยชน์เชิงพาณิชย์ ซึ่งได้มีการทำหนังสือส่งถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วและอยู่ระหว่างการรอคำตอบ
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า สำหรับที่ดินแปลงดังกล่าวนั้น เมื่อช่วงเดือน พ.ค.60 เคยมีผู้นำไปโพสต์โฆษณาขายสิทธิ์การเช่าลงในโซเชียลมีเดีย ระบุว่า ให้เช่าระยะยาว30ปีในราคา30ล้านบาทหรือซื้อสิทธิ์การเช่าในราคา 50 ล้านบาท ที่ดิน 1 ไร่ 3 งาน 54 ตารางวา พร้อมอาคาร 7 หลัง ที่กำลังปรับปรุงเป็นโรงแรมที่พัก ตรงข้ามวัดล่ามช้าง ใกล้ตลาดสมเพชร กลางเมืองเชียงใหม่ ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลในเวลานั้นกับสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่ ระบุว่าการนำที่ดินดังกล่าวไปลงประกาศในลักษณะดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินของวัดต้นปูน(ร้าง) ซึ่งเป็นที่ดินสาธารณะที่อยู่ในความรับผิดชอบดูแลของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และทางเอกชนได้เช่าใช้ประโยชน์ รวมทั้งในสัญญาเช่ามีการระบุวัตถุประสงค์ด้วยว่าเพื่อประกอบกิจการโรงเรียน ดังนั้นการจะนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นย่อมไม่สามารถทำได้ และหากเป็นการผิดสัญญาทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติสามารถทำการยกเลิกสัญญาได้