ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - เจ้าอาวาสวัดล่ามช้างชวนรัฐมนตรีสำนักนายกฯ ลงพื้นที่จริงตรวจสอบกรณีเอกชนเช่าที่วัดร้างจ่อผุดโรงแรม ห่วงสำนักพุทธรายงานข้อเท็จจริงขาดตก แฉเคยมีคนนำมาเร่ขายให้วัดราคา 8 ล้าน และเสนอผลประโยชน์ให้แลกช่วยหนุน
พระครูปลัดอานนท์ วิสุทโธ เจ้าอาวาสวัดล่ามช้าง พร้อมด้วยชาวชุมชนล่ามช้าง ร่วมกันประชุมหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันที่วัดล่ามช้าง ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ สุดสัปดาห์นี้ กรณีเอกชนรายหนึ่งกำลังยื่นขออนุญาตก่อสร้างโรงแรมบนที่ดินพื้นที่เกือบ 2 ไร่ ที่เคยเป็นโรงเรียนอนุศึกษา ที่ตั้งอยู่ติดกับวัดล่ามช้าง ซึ่งที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นวัดร้างชื่อวัดต้นปูน ที่อยู่ในความรับผิดชอบดูแลของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยให้เอกชนเช่าใช้ประโยชน์ และในสัญญาเช่ามีการระบุวัตถุประสงค์ด้วยว่าเพื่อประกอบกิจการโรงเรียน
แต่ปรากฏว่าเอกชนรายเดิมน่าจะมีการขายสิทธิ์การเช่าให้กับเอกชนรายใหม่ และมีการยื่นขออนุญาตก่อสร้างเป็นโรงเรียนสอนการโรงแรมและท่องเที่ยว ซึ่งชุมชนคัดค้านเนื่องจากเป็นห่วงว่าอาจจะเป็นการเลี่ยงบาลีเปิดกิจการโรงแรม และเห็นว่าหากไม่ได้ใช้ประโยชน์เป็นโรงเรียนแล้ว ควรจะใช้ประโยชน์สาธารณะมากกว่านำไปแสวงหาประโยชน์เชิงพาณิชย์
ทั้งนี้ พระครูปลัดอานนท์ วิสุทโธ เจ้าอาวาสวัดล่ามช้าง กล่าวว่า วัดและชุมชนล่ามช้าง ต่างไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกรณีดังกล่าวนี้ และต้องการเรียกร้องให้ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติพิจารณาทบทวนในเรื่องการให้เอกชนเช่าที่ดินแปลงนี้ เพราะที่ดินแปลงนี้เป็นที่ตั้งวัดร้างอายุเก่าแก่ตั้งแต่สร้างเมืองเชียงใหม่ อดีตเคยเป็นผืนเดียวกับวัดล่ามช้าง โดยอดีตเจ้าอาวาสวัดล่ามช้างได้แบ่งพื้นที่ให้ใช้เพื่อก่อตั้งโรงเรียนสำหรับชุมชนและยังให้การอุปถัมภ์ด้วยการออกเงินส่วนตัวเพื่อสร้างอาคารเรียน รวมทั้งสนับสนุนด้านต่างๆ มาตลอดด้วย
แม้ต่อมาที่ดินแปลงนี้จะอยู่ในความดูแลของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และให้ทางเจ้าของโรงเรียนเช่าที่ดิน แต่ในเมื่อโรงเรียนปิดกิจการไปแล้ว ดังนั้นที่ดินนี้จึงควรจะกลับมาเป็นของวัดตามเดิมถึงจะต้องเช่าก็ตาม ซึ่งที่ผ่านมาทางวัดเคยพยายามที่จะขอเช่าที่ดินดังกล่าวเพราะเสียค่าเช่าเพียงปีละประมาณ 60,000 บาทเท่านั้น แต่ถูกปฏิเสธอ้างว่าผู้เช่ารายเดิมยังไม่หมดสัญญา
เจ้าอาวาสวัดล่ามช้างบอกด้วยว่า ในช่วงที่โรงเรียนอนุศึกษาปิดกิจการ มีผู้ที่เคยมาเสนอขายสิทธิ์การเช่าที่ดินแปลงนี้ให้ในราคา 8 ล้านบาท ซึ่งแม้จะอยากได้ที่ดินดังกล่าวมาทำประโยชน์เพื่อวัด ชุมชนและส่วนรวม แต่ได้ปฏิเสธไป เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เนื่องจากที่ดินแปลงนี้เป็นที่ดินสาธารณะอยู่แล้วและไม่ควรถูกนำมาแสวงหาประโยชน์ด้วยวิธีการเช่นนี้ ต่อมาพบว่ามีเอกชนรายใหม่ที่จะเช่าและพยายามจะเปิดกิจการโรงแรม แต่ถูกชุมชนคัดค้านจึงได้ยอมยุติไป
กระทั่งมีผู้เช่ารายล่าสุดที่เชื่อว่าน่าจะมีความพยายามเปิดกิจการโรงแรมอีก โดยเมื่อประมาณปลายปี 2560 เคยมีผู้มาแนะนำตัวว่าเป็นผู้เช่ารายใหม่ แต่ไม่ได้บอกว่าจะทำอะไรกับที่ดินแปลงนี้ ซึ่งได้บอกไปว่าหากจะทำอะไรขอให้มาพูดคุยสอบถามความเห็นชุมชนด้วย จนมาทราบล่าสุดว่ามีการยื่นขออนุญาตดัดแปลงอาคารและชุมชนต้องออกมาคัดค้านในครั้งนี้
นอกจากนี้ เจ้าอาวาสวัดล่ามช้างเปิดเผยว่า เคยมีผู้ที่มาเสนอผลประโยชน์เป็นเงิน 300,000 บาทให้กับตัวเองเพื่อแลกกับการช่วยเหลือไม่ให้ถูกคัดค้านต่อต้านจากชุมชนในการเปิดกิจการโรงแรมบนที่ดินแปลงดังกล่าว และหากกิจการเป็นไปได้ด้วยดีจะมีการให้เงินเพิ่มกับตัวเองอีกและบริจาคให้กับวัดด้วย ซึ่งได้ปฏิเสธไปเช่นกัน เนื่องจากเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และยอมตายเสียดีกว่าหากทำเช่นนั้น เพราะเคยรับปากกับอดีตเจ้าอาวาสไว้แล้วว่าจะดูแลรักษาพื้นที่ไว้เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ทั้งของวัดและชุมชน
ส่วนกรณีที่นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีการสั่งการให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติตรวจสอบข้อเท็จจริงและรายงานให้ทราบ รวมทั้งกล่าวว่าที่วัดควรต้องใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะนั้น พระครูปลัดอานนท์บอกว่า ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่น่าจะเป็นเรื่องดีที่สุดหากรัฐมนตรีจะลงพื้นที่ตรวจสอบด้วยตัวเองเพื่อให้เห็นสภาพและข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน ไม่ใช่รออ่านแต่รายงานจากหน่วยงาน ซึ่งเป็นห่วงว่าอาจจะมีหลายอย่างคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงหรือไม่ครบถ้วน
ขณะเดียวกัน เจ้าอาวาสวัดล่ามช้างยืนยันว่าที่ดินวัดร้างแปลงดังกล่าวสมควรจะใช้ประโยชน์ทางศาสนาและชุมชน รวมทั้งเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเมืองเชียงใหม่ โดยกรณีที่ข้าราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาคนหนึ่งระบุว่ามีที่ดินวัดร้างที่ถูกเช่าเปิดกิจการโรงแรมอยู่เยอะแยะหลายแห่งนั้น อยากจะตั้งประเด็นย้อนถามกลับว่า ในเมื่อมีหลายแห่งแล้ว ฉะนั้นยกเว้นที่ดินวัดต้นปูน (ร้าง) ไว้ได้หรือไม่ รวมทั้งหยุดให้มีการนำที่ดินวัดร้างไปใช้ประโยชน์เชิงการค้ามากเกินไปด้วย