xs
xsm
sm
md
lg

“อวสานวัดเสือ” แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังเมืองกาญจน์ มาจากความขัดแย้งภายใน ส่วนจะมีแพะรับบาปหรือไม่ รออีกไม่นาน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


รายงาน...

ต้องยอมรับว่า ตลอดเวลา 15 ปีที่ผ่านมา วัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน หรือวัดเสือ ที่มีพระวิสุทธิสารเถร (ภูสิต ขันติธโร) หรือหลวงตาจันทร์ เป็นเจ้าอาวาส วัดแห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก นักท่องท่องจากทั่วทุกมุมโลกที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ต่างมีเป้าหมายในโปรแกรมทัวร์เมืองไทยหลายแห่ง ซึ่ง 1 ในนั้นคือ ทัวร์วัดเสือ

สำหรับเสือโคร่งที่มีอยู่จำนวน 147 ตัว เป็นเสือที่มีนิสัยเชื่องไม่ดุร้ายที่นำออกมาให้บริการแก่นักท่องเที่ยวประมาณ 20-30 ตัว ส่วนที่เหลือเป็นเสือที่อยู่ในกรงภายในเกาะเสือ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเสือที่ดุร้าย โดยภายในเกาะเสือนักท่องเที่ยวสามารถเดินชมพฤติกรรมของเสือเหล่านั้นได้ โดยไม่ต้องเกรงว่าจะได้รับอันตรายใดๆ เนื่องจากคอกที่นำเสือมาปล่อยมีขนาดกว้างขวาง และมีกำแพงที่สูง และล้อมรอบด้วยลวดหนามอีกหลายชั้น บนกำแพงสร้างเป็นทางให้คนเดินกว้างประมาณ 2 เมตร

สำหรับผู้ที่อยู่เคียงคู่พระวิสุทธิสารเถร (ภูสิต ขันติธโร) หรือหลวงตาจันทร์ ตลอดมาคือ นายสัตวแพทย์สมชัย วิเศษชัยมงคล และ พ.ต.อ.ศุภิฏพงศ์ ภัคดิ์จรุง รองประธานมูลนิธิวัดป่าหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน นอกจากนี้ ยังมีคณะกรรมการวัดอีกจำนวนหนึ่งที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือทางวัด และมีพนักงานแผนกต่างๆ มากกว่า 100 คน

ที่มาของความขัดแย้งมาจากการที่ นายสัตวแพทย์สมชัย วิเศษชัยมงคล ลาออก หรือถูกไล่ออก ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่ที่แน่ๆ คือ ออกไปพร้อมกับนำหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอ และไมโครชิปของเสือ จำนวน 3 ตัว แล้วนำไปเปิดโปงต่อสื่อมวลชน ว่า มีมือมืดขับรถยนต์เข้าไปภายในเกาะแล้วขนย้ายเสือโคร่งออกไป จำนวน 3 ตัว โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงเวลากลางคืนของวันที่ 20 และคืนวันที่ 25 ธ.ค.57 เสือที่ถูกลักลอบขนย้ายออกไปเป็นเสือโคร่งพันธุ์เบงกอล คือ เสือเพศผู้ ชื่อดาวเหนือ อายุ 7 ปี เสือเพศผู้ ชื่อฟ้าคราม 3 อายุ 3 ปี และเสือเพศผู้ ชื่อ แฮบปี้ 2 อายุ 3 ปี

ข่าวที่ออกไปสร้างความไม่พอใจให้แก่ หลวงตาจันทร์ และ พ.ต.อ.ศุภิฏพงศ์ รวมทั้งคณะกรรมการวัดคนอื่นๆ และพนักงานที่มีอยู่เป็นอย่างมาก จึงเกิดการโต้แย้งกันอย่างรุนแรง สุดท้ายหลวงตาจันทร์ ได้สั่งปลดนายสัตวแพทย์สมชัย ทันที พร้อมกับข้อครหาว่า นายสัตวแพทย์สมชัย เป็นคนเนรคุณ

แต่ทางด้านนายสัตวแพทย์สมชัย ก็ได้แถลงข่าวตอบโต้มาอย่างต่อเนื่องเช่นกันว่า การลักลอบนำเสือออกไปคาดว่าจะส่งไปขายยังต่างประเทศโดยผ่านเส้นทางลาวไปยังประเทศที่ 3 โดยเสือแต่ละตัวมีมูลค่าสูงถึงตัวละ 5 ล้านบาท

ส่วนการที่ทางวัดบอกว่าไล่ตนออกนั้นไม่จริง ตนเป็นคนลาออกจากวัดเอง การแถลงข่าวโต้แย้งกันไปมาจึงนำไปสู่การแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษซึ่งกันและกัน จนถึงขณะนี้เรื่องอยู่ระหว่างชั้นพนักงานสอบสวน สภ.ไทรโยค

ต่อมา นายสัตวแพทย์สมชัย พร้อมทนายความส่วนตัว ได้เข้าพบ นายนิพนธ์ โชติบาล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ในขณะนั้น พร้อมกับมอบหลักฐานคลิปวิดีโอ และไมโครชิป รวมทั้งเอกสารต่างๆ ให้ เพื่อดำเนินการส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบการหายไปของเสือทั้ง 3 ตัว

ในที่สุด นายนิพนธ์ ก็มอบหมายหน้าที่ให้ นายอดิศร นุชดำรงค์ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ เป็นผู้รับผิดชอบหน้าที่ในการตรวจสอบการหายไปของเสือของกลางทั้ง 3 ตัว จนนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่าง พระวิสุทธิสารเถร หรือหลวงตาจันทร์ พ.ต.อ.ศุภิฏพงศ์ กับกรมอุทยานฯ และนายสัตวแพทย์สมชัย

โดยระหว่างที่ นายอดิศร นำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าไปขอตรวจสอบภายในวัด แต่ก็ได้รับการต่อต้านอย่างหนักจากหลวงตาจันทร์ และ พ.ต.อ.ศุภิฏพงศ์ รวมทั้งพระลูกวัด กับพนักงาน ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องล่าถอยออกมา สุดท้ายต้องไปขอหมายค้นจากศาลจังหวัดกาญจนบุรี พร้อมกับสนธิกำลังเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายมากกว่า 300 นาย บุกเข้าไปภายในวัด โดยมีหมายค้นศาลจังหวัดกาญจนบุรีเป็นใบเบิกทาง

แต่เมื่อคณะเจ้าหน้าที่เข้าไปถึงเกาะเสือ พบว่า ประตูทางเข้าถูกล่ามโซ่ และล็อกด้วยกุญแจขนาดใหญ่อย่างแน่นหนา ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปได้ และไม่กล้าเสี่ยงที่จะตัดโซ่ และกุญแจเข้าไป เนื่องจากเกรงว่าทางวัดจะปล่อยเสือออกมาทำร้ายเจ้าหน้าที่

แต่ความพยายามของ นายอดิศร ก็ยังไม่สิ้นสุด ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่กระจายกำลังกันตรวจค้นหาสัตว์ป่าคุ้มครองชนิดอื่นแทน ในที่สุด ก็พบนกเงือกถูกขังอยู่ในกรงเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังพบหมีควายตัวขนาดใหญ่ถูกขังอยู่ในกรงอีก จำนวน 6 ตัว ซึ่งหมีควายทั้ง 6 ตัว ไม่อยู่ในบัญชีของกลาง

ต่อมา วันที่ 3 ก.พ.58 คณะเจ้าหน้าที่นำโดย นายชาติชาย ศรีแผ้ว หัวหน้าสำนักงานสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามที่ 1 ภาคกลาง ได้นำหมายค้นศาลจังหวัดกาญจนบุรี ที่ มค.78/1558 ลงวันที่ 3 ก.พ.2558 ดำเนินการเข้าจับนกเงือกทั้งหมดออกจากกรงเพื่อขนย้ายไปไว้ที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าของกรมอุทยานฯ

ระหว่างที่เจ้าหน้าที่กำลังขนย้ายนกเงือกออกไป ถึงประตูทางเข้า-ออก ปรากฏว่า หลวงตาจันทร์ ได้ออกมาเอะอะโวยวายต่อเจ้าหน้าที่ว่า ทำเกินกว่าเหตุ พร้อมกับอาละวาดทำลายกรงขังนก และจุดไฟเผา ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ได้แต่ยืนมองเท่านั้น แต่ในที่สุดเจ้าหน้าที่ก็สามารถขนย้ายนกเงือกออกไปได้

สำหรับการปฏิบัติการขนย้ายหมีควายทั้ง 6 ตัว เจ้าหน้าที่ต้องระดมกำลังมากกว่า 500 นาย โดยเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ สามารถวางยาสลบ และขนย้ายหมีขึ้นไปยู่บนรถบรรทุกได้ตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย.แต่ไม่สามารถนำออกมาได้ เนื่องจาก หลวงตาจันทร์ ได้ระดมพระลูกวัด รวมทั้งพนักงานของวัดกว่า 100 คน มานั่งขวางประตูทางเข้าออก พร้อมกับนำแผงเหล็กมากั้นเอาไว้

การขัดขวางยืดเยื้อไปจนกระทั่งถึงวันที่ 3 เม.ย.โดยมี นายธัญญา เนติธรรมกุล ขณะนั้นเป็นรองอธิบดีกรมอุทยานฯ มากราบนมัสการขอให้หลวงตาจันทร์ เปิดทางให้เจ้าหน้าที่ขนย้ายหมีออกไป แต่ก็ไม่ได้รับความร่วมมือ

ดังนั้น นายธัญญา จึงส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามแผนที่วางเอาไว้ ด้วยการให้เจ้าหน้าที่ตั้งแถวหน้ากระดานปิดประตูทางเข้า-ออก เป็น 2 ชั้น จากนั้นขับรถบรรทุกหมีถอยหลังเข้าไปในวัดตามเดิม แล้วปิดประตูทันที ทำให้หลวงตาจันทร์ พร้อมพระลูกวัด และพนักงานไม่สามารถฝ่าด่านเข้าไปภายในวัดได้ โดยเจ้าหน้าที่ใช้วิธีการนำรถมายกกรงหมีข้ามกำแพงโดยมีรถบรรทุกรออยู่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งแผนปฏิบัติการดังกล่าวไม่มีใครล่วงรู้มาก่อน ซึ่งเจ้าหน้าที่ใช้เวลาไม่นานนักก็ประสบผลสำเร็จ ซึ่งสื่อมวลชนได้นำภาพไปนำเสนอข่าวจนโด่งดังไปทั่วประเทศ และทั่วโลก

เว้นระยะมาเกือบ 1 ปีเต็ม นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ คนใหม่ เริ่มมีการส่งเจ้าหน้าที่มาเจรจากับวัดป่าหลวงตาบัวฯ อีกครั้งหนึ่ง โดยมอบหมายให้ นายอดิศร นุชดำรงค์ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาตินำทีม โดยให้ นายยรรยง เลขาวิจิตร ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) เป็นหัวหน้าชุดเข้าเจรจา เนื่องจากเป็นผู้ที่มีนิสัยอ่อนน้อม

ในที่สุดทางวัด นำโดย พ.ต.อ.ศุภิฏพงศ์ ภักดิ์จรุง รองประธานมูลนิธิวัดป่าหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เป็นคู่เจรจา โดยมีการตกลงกันได้ว่า อนุญาตให้กรมอุทยานฯ มาขนย้ายเสือของกลางได้ครั้งละ 5 ตัว ครั้งแรกขนวันที่ 28 ม.ค. และครั้งที่ 2 ขนย้ายวันที่ 23 ก.พ.ยังคงเหลือเสือโคร่งของกลาง จำนวน 137 ตัว

การขนย้ายเสือของกลางที่เหลืออยู่ดูแล้วน่าจะราบรื่นผ่านไปด้วยดี แต่เมื่อกรมอุทยานฯ ส่งหนังสือขนย้ายเสือครั้งที่ 3 จำนวน 10 ตัว กลับเกิดปัญหาขึ้น เมื่อทางวัดไม่ยินยอมให้ขนย้ายเสืออีกต่อไป พร้อมกับมอบหมายให้ นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความเดินทางไปฟ้องศาลปกครองกลางให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว โดยให้เหตุผลว่า อยู่ระหว่างการฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดูเสือเป็นเงินจำนวนกว่า 147 ล้านบาท

ต่อมา วันที่ 29 พ.ค.59 นายอดิศร นุชดำรงค์ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้มอบหมายให้นายยรรยง เลขาวิจิตร ผอ.สบอ.3 เข้าพบ นายศักดิ์ สมบุญโต ผวจ.กาญจนบุรี เพื่อประชุมวางแผนปฏิบัติการการขนย้ายเสือที่เหลืออยู่ จำนวน 137 ตัว โดยมีเจ้าหน้าที่ทหาร เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม โดยจะมีการเริ่มปฏิบัติการขนย้ายเสือในวันที่ 30 พ.ค.59

เมื่อเวลา 11.00 น.ของวันที่ 30 พ.ค.59 ศาลจังหวัดกาญจนบุรี ได้อนุมัติหมายค้น ที่ มค 432/2559 ให้แก่ผู้ร้องขอ คือ นายสินชัย เอกทรัพย์สกุล เจ้าพนักงานป่าไม้ชำนาญงาน สำนักป้องกัน ปราบปราม และควบคุมไฟป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เพื่อทำการตรวจค้นวัดป่าหลวงตาบัวญาณสัมปันโน และมูลนิธิวัดป่าหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน หมู่ 5 ต.สิงห์ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ซึ่งมี พระสุทธิสารเถร เป็นเจ้าอาวาส และประธานมูลนิธิ และนายอธิธัช ศรีมณี ผู้ดูแล

โดยมี นายอดิศร นุชดำรงค์ เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการ มีคณะสัตวแพทย์ ประจำกรมอุทยานแห่งชาติฯ จากทั่วประเทศมาร่วมดำเนินการ มี พ.อ.สราวุธ ไชยสิทธิ์ ผบ.ร.29 พร้อมกำลังทหารชุดประสานงานประจำพื้นที่ ร.29 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ภ.จว.กาญจนบุรี เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองจังหวัดกาญจนบุรี เจ้าหน้าที่ ตชด.13 สนธิกำลังรักษาความปลอดภัย ส่วนเจ้าหน้าที่วัดมีเพียง พ.ต.อ.ศุภิฏพงศ์ คนเดียวเท่านั้นที่มาเจรจากับ นายอดิศร ซึ่งมีการโต้เถียงกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ในที่สุด ปฏิบัติการขนย้ายเสือก็ประสบผลสำเร็จ โดยใช้เวลาเพียง 6 วันเท่านั้น ก็สามารถนำเสือของกลาง จำนวน 137 ตัว ไปไว้ที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาประทับช้าง และสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาสน อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ครั้งนี้ สื่อมวลชนทั้งไทย-เทศ ต่างเสนอข่าวกันอย่างต่อเนื่อง ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ได้ถูกประชาชนที่ติดตามข่าวสารวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา มีทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย

แต่สุดท้ายคำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ที่มีต่อเจ้าหน้าที่ก็เงียบหายไป เมื่อระหว่างที่เจ้าหน้าที่ปูพรมตรวจค้นภายในวัด ปรากฏว่า พบซากลูกเสือโคร่งถูกนำไปแช่แข็งเอาไว้ภายในห้องเย็นนับได้ จำนวน 40 ซาก และยังมีซากหมีหมา อีก 1 ซาก

จากการปูพรมตรวจค้นต่อเนื่องยังพบซากลูกเสือโคร่งถูกดองเอาไว้ในขวดโหลอีก จำนวน 30 ซาก จับกุมฆราวาส 2 คน และพระสงฆ์ 1 รูป ขณะกำลังขนย้ายซากหนังเสือเต็มตัว 2 ซาก ตะกรุดหนังเสือ เขี้ยวเสือ รวมทั้งเครื่องรางของขลังนับรวมกันได้หลายพันชิ้น และวันที่ 4 มิ.ย.นายอดิศร ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนให้ทราบถึงผลการปฏิบัติงาน พร้อมประกาศส่งคืนพื้นที่ให้แก่วัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน

ถึงแม้ นายอดิศร นุชดำรง รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ จะแถลงส่งมอบคืนพื้นที่ให้แก่ทางวัดแล้วก็ตาม แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงดำเนินการตรวจสอบต่อไป โดยเฉพาะวันที่แถลงข่าว ได้เชิญ นายวัชรินทร์ วากะมะนนท์ ปฏิรูปที่ดินจังหวัดกาญจนบุรี พร้อมด้วย นางรจนพรรณ ณรงค์อินทร์ นิติกรชำนาญการ ส.ป.ก.กาญจนบุรี มาร่วมแถลงข่าวด้วย

ผลที่ตามมาคือ เจ้าหน้าที่ ส.ป.ก.กาญจนบุรี ร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ตรวจสอบที่ดินที่ล้อบรอบด้วยกำแพง พบทางวัดใช้ที่ดิน ส.ป.ก.จำนวน 391 ไร่เศษ โดยมีกรมรศาสนา สำนักงานพระพุทธศานาแห่งชาติ เป็นหน่วยงานร้องขอใช้ที่ดินเพื่อสร้างวัดดำเนินการทางด้านพระพุทธศาสนา มาตั้งแต่ปี 2546 ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ที่เคยร้องขอนำที่ดินไปใช้ประโยชน์เมื่อในอดีต

อีกทั้งยังตรวจสอบพบมีการบุกรุกที่ดิน ส.ป.ก.เพิ่มอีกจำนวน 931-0-83 ไร่ ดังนั้น นายวัชรินทร์ วากะมะนนท์ ปฏิรูปที่ดินจังหวัดกาญจนบุรี จึงเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.ไทรโยค เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษต่อผู้กระทำผิด พร้อมทั้งส่งหนังสือถึงสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อเพิกถอนที่ดิน จำนวน 391 ไร่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนของพนักงานสอบสวน สภ.ไทรโยค เช่นกัน

จุดจบแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังเมืองกาญจน์ “วัดเสือ” กับ 15 ปี ที่โด่งดัง ต้องมาอวสาน จึงถือได้ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดจากความขัดแย้งของคนภายในโดยแท้จริง ส่วนเรื่องคดีความต่างๆ นั้นจะมีแพะรับบาปหรือไม่ อีกไม่นานก็จะรู้ผล สำหรับคดีเสือหาย 3 ตัว คงต้องรอไปอีกนาน

สำหรับประวัติคร่าวๆ พระวิสุทธิสารเถร (ภูสิต ขันติธโร) หรือหลวงตาจันทร์ เจ้าอาวาสวัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน ประธานมูลนิธิวัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน เดิมเป็นชาวสมุทรปราการ การศึกษาจบนักธรรมเอก ปริญญาโทสาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย City University London ประเทศอังกฤษ เมื่อ พ.ศ.2521

อุปสมบทครั้งแรกที่วัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯ เมื่อ ปี พ.ศ.2524 สายพระธรรมยุต จากประวัติพบว่า สาเหตุที่บวชเนื่องจากป่วยเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือดในขั้นสุดท้าย จึงตัดสินใจบวชเพื่อเตรียมตัวตายในเพศบรรพชิต จากนั้นได้ออกเดินธุดงค์ไปตามผืนป่าทางภาคตะวันตก สิ่งที่ไม่น่าเชื่อคือโรคร้ายได้หายขาดกลับมาเป็นปกติราวปาฏิหาริย์

พระวิสุทธิสารเถร (ภูสิต ขันติธโร) สร้างวัดป่าแห่งแรก เมื่อปี พ.ศ.2532 คือวัดถ้ำภูเตย รวมทั้งสร้างโรงเรียนวัดป่าภูเตย ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ต่อมา ปี พ.ศ.2537 ก็ได้สร้างวัดป่าขึ้นมาเป็นแห่งที่ 2 คือ วัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน หมู่ 5 ต.สิงห์ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี
กำลังโหลดความคิดเห็น