xs
xsm
sm
md
lg

เครือข่าย อจ.หลากสถาบัน รวมตัวตั้งโต๊ะแถลงโต้-ย้ำชัด “มหาวิทยาลัย ไม่ใช่ค่ายทหาร”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - เครือข่ายคณาจารย์หลายมหาวิทยาลัย ตั้งโต๊ะแถลงการณ์โต้รัฐบาล ย้ำ “มหาวิทยาลัย ไม่ใช่ค่ายทหาร” หลังถูกระบุจัดการสอนให้คนต่อต้านรัฐ ระบุสถาบันการศึกษามีเสรีภาพทางวิชาการ ทำให้คนเกิดทัศนะวิพากษ์ไม่ให้เกิดการ “ครอบงำ” ชี้การใช้ “อำนาจ” บังคับ ทำสังคมสงบชั่วคราวเท่านั้น

วันนี้(31 ต.ค.)ผู้สื่อข่าวรายงาน คณาจารย์คณะมนุษย์ศาสตร์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ , เครือข่ายคณาจารย์ ได้ร่วมกันแถลงการณ์เรื่อง “มหาวิทยาลัย ไม่ใช่ค่ายทหาร” ที่โรงแรม ไอบิส สไตล์ อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ หลังนายกรัฐมนตรี เคยให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนหลายแขนงว่า อาจารย์มหาวิทยาลัยบางแห่ง สอนให้นักศึกษาต่อต้านรัฐบาล ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรกับสังคมไทยเลย

ศ.ดร.อรรถจักร สัตยานุรักษ์ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตัวแทนเครือข่ายคณาจารย์ได้อ่านคำแถลงการณ์ว่า จากการที่ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนในสถาบันอุดมศึกษาว่า เป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดการต่อต้านรัฐบาล ซึ่งไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อสังคมไทยโดยรวมนั้น ในฐานะคณาจารย์ในมหาวิทยาลัย ขอแสดงปฏิกิริยาต่อคำวิจารณ์ดังกล่าวต่อไปนี้

ประการแรก “เสรีภาพ” เป็นปัจจัยพื้นฐานที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความงอกงามในทางความรู้การแสดงความคิดเห็นจากมุมมอง หรือวิธีคิดที่แตกต่างบนพื้นฐานของการใช้เหตุผล และข้อเท็จจริง จะนำไปสู่ความเข้าใจใหม่ในเรื่องต่างๆ ซึ่งทำให้มนุษย์ และสังคมมีความรู้ และสติปัญญามากขึ้น สามารถจัดการแก้ปัญหา เผชิญหน้ากับโลกที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การจัดการเรียนการสอน คณาจารย์จำนวนมากในมหาวิทยาลัย จึงไม่ได้เป็นการเรียนการสอนให้ท่องจำ และยึดมั่นในวิธีคิด และอุดมการณ์แบบใดแบบหนึ่ง โดยปราศจากการโต้แย้ง เพราะบทเรียนจากประวัติศาสตร์ทั้งในสังคมไทยและสังคมอื่นๆ ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า การปลูกฝังอุดมการณ์หรือ “ความเชื่อ” หนึ่งๆเพื่อครอบงำสังคมหมายถึงการทำให้คนในสังคมยอมรับโครงสร้างอำนาจแบบใดแบบหนึ่งที่คนบางกลุ่มได้ประโยชน์ และอาจส่งผลให้มารใช้ความรุนแรงหรือแม้กระทั่งการเข่นฆ่าผู้คนร่วมสังคมที่ปฏิเสธโครงสร้างอำนาจดังกล่าว

ดังนั้น คณาจารย์จำนวนมากจึงเห็นว่า การทำให้เกิดทัศนะวิพากษ์หรือมุมมองที่แตกต่างเป็นเรื่องสำคัญยิ่งในสังคม เพื่อให้ผู้คนในสังคมสามารถคิดได้เอง และมีความเคารพตลอดจนความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจในผู้คนที่มีมุมมองแตกต่างจากตนเองอย่างแท้จริง

ประการที่สอง ในสังคมไทยยุคโลกาภิวัตน์ ที่ชีวิตและความคิดของผู้คนมีความแตกต่างหลากหลาย การใช้อำนาจบังคับให้บุคคลต้องปฏิบัติไปในรูปแบบเดียวกัน ไม่ว่าจะโดยอำนาจจากปากกระบอกปืน หรืออำนาจกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม อาจจะทำให้เกิดความสงบราบคาบขึ้นได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่ไม่สามารถนำพาสังคมไทยไปสู่ภาวะแห่งสันติสุขได้อ่างแท้จริง การสร้างความเห็นพ้องต้องกันในเรื่องต่างๆ รวมทั้งความชอบธรรมในการใช้อำนาจจำเป็นต้องมีรากฐานอยู่บนการถกเถียงกันด้วยความรู้เหตุผล และข้อเท็จจริง ในบรรยากาศของความเสมอภาคและเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย

พวกเราในฐานะคณาจารย์จากสถาบันการศึกษาหลายสถาบัน มีความเห็นรวมกันว่า การที่จะนำพาสังคมไทยให้พ้นจากความขัดแย้ง เพื่อไปสู่สังคมที่มีสันติภาพ ความเสมอภาคและความเป็นธรรมในระยะยาวได้นั้น หลักการพื้นฐานคือ ต้องสร้างสังคมที่สามารถยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง มีกระบวนการในการจัดการกับปัญหาข้อขัดแย้งต่างๆ ที่เป็นธรรม และโปร่งใส มีระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมที่เป็นกลางและตรวจสอบได้

สังคมในลักษณะดังกล่าวก็คือ สังคมที่ปกครองในรูปแบบเสรีภาพประชาธิปไตย โดยมีรัฐธรรมนูญที่เอื้อต่อการสร้างความเป็นธรรม และค้ำประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน ทั้งนี้ สถาบันการศึกษาทุกระดับย่อมมีหน้าที่โดยตรงในการสร้างสังคมแบบประชาธิปไตยดังกล่าวนี้ มิใช่ยอมรับการข่มขู่ด้วยอำนาจซึ่งมีแต่จะนำพาสังคมไทยให้จมดิ่งลงไปสู่ความมืดมนทางปัญญาและไม่อาจปรับตัวได้ในโลกปัจจุบันและอนาคต ด้วยความรักและปรารถนาดีต่อสังคมไทย

ด้าน รศ.ดร.ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ มหาวิทยาลัยทักษิณ แสดงความคิดเห็นว่า ระบบการเรียนการสอนในปัจจุบัน มีการพยายามฝึกฝนและบ่มเพาะให้นักศึกษาคิดเป็นและสอนให้นักศึกษามีการเรียนรู้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และให้นักศึกษาสามารถวิพากษ์วิจารณ์กับเหตุการณ์ในสังคมได้




กำลังโหลดความคิดเห็น