เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 23 พฤศจิกายน ที่ศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กลุ่มเครือข่ายคณาจารย์ผู้ห่วงใยศิษย์ที่ถูกคุมขัง นำโดย นายอนุสรณ์ อุณโณ คณบดีคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พร้อมตัวแทนคณาจารย์ ประมาณ 10 คน อาทิ นายคมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร นายยุกติ มุกดาวิจิตร คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายพิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นต้น เดินทางเข้ายื่นหนังสือ พร้อมแนบรายชื่อคณาจารย์จากทั่วประเทศและเครือข่ายอาจารย์จากต่างประเทศ จำนวน 323 รายชื่อ ถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ผ่านนายสุขสวัสดิ์ สุวรรณวงศ์ หัวหน้าฝ่ายประสานมวลชน ศูนย์บริการประชาชน เพื่อขอให้ทหารหยุดลิดรอนเสรีภาพทางวิชาการ รวมถึงหยุดห้ามนักศึกษาทำกิจกรรมภายในมหาวิทยาลัย ตลอดจนมีการจับกุมนักศึกษาและออกหมายเรียกอาจารย์บางคนที่เคลื่อนไหวแสดงความเห็น สืบเนื่องจากกรณีที่มีหมายเรียกและตั้งข้อหาคณาจารย์ที่ร่วมกันออกแถลงการณ์ “มหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร” เมื่อวันที่ 31ตุลาคมที่ผ่านมา ในข้อหาร่วมกันมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมือง ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปตามประกาศคำสั่งหัวหน้าคสช. พร้อมกับยืนยันเจตนารมณ์ว่า “มหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร ประเทศไทยไม่ใช่ค่ายกักกัน”
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า เครือข่ายคณาจารย์ฯ ขอเรียกร้องไปถึงนายกฯในฐานะหัวหน้าคสช.หยุดข่มขู่ คุกคามคณาจารย์ที่แสดงความคิดเห็นทางการเมืองโดยบริสุทธิ์ใจ หยุดสั่งห้ามและคุกคามนักศึกษา รวมทั้งประชาชนที่จัดกิจกรรมทางการเมือง และหยุดแทรกแซงการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยให้มีแนวทางหรือเนื้อหาวิชาการตามที่คสช.ต้องการ หากยังมีการคุกคามและขุ่มขู่ทางเครือข่ายคณาจารย์จะพิจารณาการเคลื่อนไหวในระดับที่เข้มข้นต่อไป ทั้งนี้จะขอติดตามผลการดำเนินการกับอาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2 คน ที่ถูกหมายเรียกรายงานตัวในวันที่ 24 พ.ย.นี้ ว่าจะออกมาในทิศทางใด รวมถึงรอฟังผลการเรียกร้องหลังจากที่ยื่นเรื่องถึงนายกฯภายในเวลา 15 วัน ก่อนที่จะหารือถึงแนวทางในการเคลื่อนไหวต่อไป อย่างไรก็ตามยืนยันว่าการเรียกร้องในเรื่องดังกล่าว ไม่มีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลก่อนตามที่มีการตั้งข้อสังเกต การเคลื่อนไหวของกลุ่มอาจารย์มีจุดยืนที่ชัดเจน หากรัฐบาลใดที่มีนโยบายการบริหารงานที่เป็นประโยชน์ก็พร้อมที่จะสนับสนุน หากไม่ถูกต้องก็ต้องออกมาแสดงความเห็น
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า การตั้งข้อหาจำคุกกับกับคณาจารย์ เพื่อให้ยุติการแสดงความเห็นต่างจากคสช.โดยที่เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจและเปิดเผย ถือเป็นคุกคามและละเมิดสิทธิเสรีภาพ ซึ่งเป็นหน้าที่ของอาจารย์ในการให้ความรู้กับสังคม และอาจารย์ที่เรียกร้องให้ปล่อยตัวนักศึกษาและแสดงความเห็นทางการเมืองยังถูกข่มขู่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่นักศึกษาถูกห้ามทำกิจกรรมทางการเมือง นอกจากนั้นยังสั่งให้บรรจุวิชายกย่องเชิดชูทหารในมหาวิทยาลัย ซึ่งขัดกับหลักสิทธิเสรีภาพในการศึกษา เพราะมหาวิทยาลัย เป็นที่แสวงหาความรู้ แลกเปลี่ยนความเห็นบนพื้นฐานของเหตุผลและข้อเท็จจริง เพื่อนำความรู้ใหม่เพิ่มสติปัญญาเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหา ดังนั้นเสรีภาพในการหาความรู้จึงเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญ การปฏิบัติต่อประชาชนประดุจผู้ถูกกักกันด้วยการปลูกฝังอุดมการณ์หรือความเชื่อเพื่อครอบงำสังคมภายใต้โครงสร้างของผู้มีอำนาจบางกลุ่มด้วยการปิดหูปิดตาคุกคามด้วยกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมให้ผู้เห็นต่างยุติการแสดงความคิดจะยิ่งนำมาซึ่งความขัดแย้ง ไม่สามารถนำสังคมไทยไปสู่ความเสมอภาค เสรีภาพ ประชาธิปไตย ความเป็นธรรมและสันติสุขได้
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า เครือข่ายคณาจารย์ฯ ขอเรียกร้องไปถึงนายกฯในฐานะหัวหน้าคสช.หยุดข่มขู่ คุกคามคณาจารย์ที่แสดงความคิดเห็นทางการเมืองโดยบริสุทธิ์ใจ หยุดสั่งห้ามและคุกคามนักศึกษา รวมทั้งประชาชนที่จัดกิจกรรมทางการเมือง และหยุดแทรกแซงการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยให้มีแนวทางหรือเนื้อหาวิชาการตามที่คสช.ต้องการ หากยังมีการคุกคามและขุ่มขู่ทางเครือข่ายคณาจารย์จะพิจารณาการเคลื่อนไหวในระดับที่เข้มข้นต่อไป ทั้งนี้จะขอติดตามผลการดำเนินการกับอาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2 คน ที่ถูกหมายเรียกรายงานตัวในวันที่ 24 พ.ย.นี้ ว่าจะออกมาในทิศทางใด รวมถึงรอฟังผลการเรียกร้องหลังจากที่ยื่นเรื่องถึงนายกฯภายในเวลา 15 วัน ก่อนที่จะหารือถึงแนวทางในการเคลื่อนไหวต่อไป อย่างไรก็ตามยืนยันว่าการเรียกร้องในเรื่องดังกล่าว ไม่มีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลก่อนตามที่มีการตั้งข้อสังเกต การเคลื่อนไหวของกลุ่มอาจารย์มีจุดยืนที่ชัดเจน หากรัฐบาลใดที่มีนโยบายการบริหารงานที่เป็นประโยชน์ก็พร้อมที่จะสนับสนุน หากไม่ถูกต้องก็ต้องออกมาแสดงความเห็น
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า การตั้งข้อหาจำคุกกับกับคณาจารย์ เพื่อให้ยุติการแสดงความเห็นต่างจากคสช.โดยที่เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจและเปิดเผย ถือเป็นคุกคามและละเมิดสิทธิเสรีภาพ ซึ่งเป็นหน้าที่ของอาจารย์ในการให้ความรู้กับสังคม และอาจารย์ที่เรียกร้องให้ปล่อยตัวนักศึกษาและแสดงความเห็นทางการเมืองยังถูกข่มขู่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่นักศึกษาถูกห้ามทำกิจกรรมทางการเมือง นอกจากนั้นยังสั่งให้บรรจุวิชายกย่องเชิดชูทหารในมหาวิทยาลัย ซึ่งขัดกับหลักสิทธิเสรีภาพในการศึกษา เพราะมหาวิทยาลัย เป็นที่แสวงหาความรู้ แลกเปลี่ยนความเห็นบนพื้นฐานของเหตุผลและข้อเท็จจริง เพื่อนำความรู้ใหม่เพิ่มสติปัญญาเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหา ดังนั้นเสรีภาพในการหาความรู้จึงเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญ การปฏิบัติต่อประชาชนประดุจผู้ถูกกักกันด้วยการปลูกฝังอุดมการณ์หรือความเชื่อเพื่อครอบงำสังคมภายใต้โครงสร้างของผู้มีอำนาจบางกลุ่มด้วยการปิดหูปิดตาคุกคามด้วยกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมให้ผู้เห็นต่างยุติการแสดงความคิดจะยิ่งนำมาซึ่งความขัดแย้ง ไม่สามารถนำสังคมไทยไปสู่ความเสมอภาค เสรีภาพ ประชาธิปไตย ความเป็นธรรมและสันติสุขได้