นครปฐม - เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาสเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษามหาราชินี ในปี 59 กองงาน “หนึ่งใจ...ช่วยเหลือเกษตรกร” มูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาฯ ศูนย์ทรัพยากรจุลินทรีย์ เพื่อนพึ่ง (ภาฯ)-ศวท. มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย และคณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มก.จึงได้ร่วมมือกันจัดโครงการ “184 ภาคีเครือข่าย จุลินทรีย์ธรรมชาติ เพื่อผลิตก๊าซหุงต้มจากผักตบชวา” ขึ้น พร้อมเปิดรับสมัคร 184 ภาคีเครือข่ายตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
วันนี้ (15 ก.ย.) ดร.อนามัย ดำเนตร คณบดีคณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ (ศวท.) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสมิ่งมงคลของประชาชนชาวไทย คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ (ศวท.) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศาสตร์แห่งแผ่นดิน จะจัดโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้วยการผลิตก๊าซหุงต้มจากผักตบชวาขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเครือข่ายการแก้ปัญหาผักตบชวา ด้วยการเพิ่มมูลค่าให้แก่ผักตบชวา โดยการเปลี่ยนเป็นพลังงานทดแทน ซึ่งนอกจากจะเป็นการกำจัดผักตบชวาแล้ว ยังจะช่วยประหยัดรายจ่ายในครัวเรือนด้านพลังงานทดแทนได้ด้วย
“การจัดโครงการดังกล่าวจะใช้องค์ความรู้จากงานวิจัยของคณะวิจัย ได้แก่ รศ.ดร.จุรีย์รัตน์ ลีสมิทธิ์ รศ.จิตราภรณ์ ธวัชพันธุ์ และนายขวัญชัย นิ่มอนันต์ สังกัดคณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งองค์ความรู้ดังกล่าวนี้ได้ทำการอบรมไปแล้วในปี 2557 ที่มีผลงานเชิงประจักษ์แล้วว่าใช้ได้ผลจริง และเกษตรกรสามารถทำเองได้ง่าย และหลังจากนั้นก็ได้มีหน่วยงาน องค์กร และผู้นำชุมชนต่างๆ แสดงความต้องการเข้ารับการอบรมอย่างต่อเนื่องจำนวนมาก ดังนั้น ทาง ศวท.มก. จึงได้จัดโครงการนี้ขึ้นอีก และประกาศรับสมัคร 184 ภาคีเครือข่ายตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป” ดร.อนามัย กล่าว
รศ.ดร.จุรีย์รัตน์ ลีสมิทธิ์ รองผู้อำนวยการ กองงาน “หนึ่งใจ...ช่วยเหลือเกษตรกร” มูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์ ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี และผู้อำนวยการศูนย์ทรัพยากรจุลินทรีย์ เพื่อนพึ่ง (ภาฯ)-ศวท. เปิดเผยว่า ทีมวิจัยได้ประสบความสำเร็จในการวิจัย โดยได้ค้นพบจุลินทรีย์ธรรมชาติศักยภาพสูงที่สามารถย่อยผักตบชวาได้ผลผลิตเป็นก๊าซหุงต้ม หรือก๊าซชีวภาพ จากนั้นคณะทำงานได้ประยุกต์จากงานวิจัยที่ยุ่งยากซับซ้อนให้มาเป็นวิธีการอย่างง่ายที่เกษตรกร และผู้สนใจทั่วไปสามารถเรียนรู้ได้ และทำได้เองในชีวิตประจำวัน
“โครงการฯคาดหวังว่าภาคีเครือข่าย จำนวน 184 คนที่จะเกิดขี้นนี้จะเป็นกำลังสำคัญในการช่วยกันเพิ่มมูลค่าผักตบชวา โดยการเปลี่ยนให้เป็นพลังงานทดแทนสำหรับใช้เป็นก๊าซหุงต้มในครัวเรือนขนาดเล็ก หรือในชุมชนของตนได้ เมื่อใดที่ต้องการก๊าซหุงต้ม เมื่อนั้นเกษตรกรสามารถผลิตได้เองจากผักตบชวาที่อยู่ในแหล่งน้ำใกล้บ้าน” รศ.ดร.จุรีย์รัตน์ กล่าว
พร้อมกล่าวต่อว่า สำหรับคุณสมบัติผู้มีสิทธิสมัครเป็น 184 ภาคีเครือข่าย จุลินทรีย์ธรรมชาติ เพื่อผลิตก๊าซหุงต้มจากผักตบชวา ได้แก่ เป็นผู้มีคุณสมบัต อย่างน้อยข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ คือ เจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐ เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ทหารฯ ที่มีภารกิจเกี่ยวข้องต่อการดูแลประชาชน ตำแหน่งเทียบเท่าได้ไม่ต่ำกว่าข้าราชการระดับ 5 ขึ้นไป
หรือเป็นผู้นำชุมชน เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประธานศูนย์ฯ ประธานชุมชนฯ เครือข่ายของมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย หรือเป็นผู้นำชุมชน เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประธานศูนย์ฯ ประธานชุมชนฯ เครือข่ายของมูลนิธิมิราเคิลออฟไลฟ์ โดยต้องเป็นผู้อยู่ในพื้นที่ประสบปัญหาผักตบชวาทั่วประเทศไทย และมีศักยภาพในการนำองค์ความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้ โดยแต่ละหน่วยงาน/องค์กร สามารถเสนอผู้สมัครได้หน่วยงานละ 4 คน
หลังได้รับการตอบรับจากโครงการฯ ให้เข้าร่วมเป็นภาคีเครือข่ายแล้ว จะมีการอบรมวิธี “ผลิตก๊าซหุงต้มผักตบชวา ด้วยจุลินทรีย์ธรรมชาติศักยภาพสูง” เพื่อให้ภาคีเครือข่ายทั้ง 184 คน จาก 46 หน่วยงาน/องค์กรทั่วประเทศ มีความรู้ความเข้าใจที่จะนำไปประยุกต์ใช้จริงให้เกิดประสิทธิภาพในพื้นที่ที่ท่านดูแลได้ และเกิดประโยชน์อย่างยั่งยืน มีการคัดเลือก 5 หน่วยงาน/องค์กรจาก 46 หน่วยงาน/องค์กรที่เข้าร่วม เพื่อพัฒนาให้เกิดองค์ความรู้ที่ยั่งยืนอยู่คู่กับชุมชน พร้อมเป็นแหล่งเรียนรู้ และศึกษาดูงานต่อไป
“นอกจากนี้ ในโอกาสต่อไปที่คณะทำงานจะมีองค์ความรู้ใหม่ด้านจุลินทรีย์ หรือด้านการเกษตร จะได้มีการประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทั้ง 184 คนทั่วประเทศนี้ในการเผยแพร่และถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ถึงมือเกษตรกร และชาวบ้าน สมดังปณิธานของกองงาน “หนึ่งใจ...ช่วยเหลือเกษตรกร” มูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์ ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี และศูนย์ทรัพยากรจุลินทรีย์ เพื่อนพึ่ง (ภาฯ)-ศวท. มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย สืบไป”
รศ.ดร.จุรีย์รัตน์ กล่าวต่ออีกว่า กิจกรรมการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อสร้าง 184 ภาคีเครือข่าย “ผลิตก๊าซหุงต้มผักตบชวา ด้วยจุลินทรีย์ธรรมชาติศักยภาพสูง” จะจัดที่คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ใช้เวลานาน 1 วัน ประกอบด้วย การบรรยาย ปฏิบัติการ และฝึกอบรมองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ทฤษฎี และความรู้ที่จำเป็นเกี่ยวกับการผลิตก๊าซชีวภาพจากผักตบชวา โดยจุลินทรีย์ธรรมชาติศักยภาพสูง วิธีการคัดเลือกจุลินทรีย์ธรรมชาติศักยภาพสูงด้วยตนเอง การผลิตก๊าซชีวภาพจากผักตบชวาด้วยจุลินทรีย์ศักยภาพสูงจากธรรมชาติ การผลิตถังย่อยผักตบชวา และถังเก็บก๊าซอย่างปลอดภัย ข้อควรระมัดระวังในการทำงานกับก๊าซไวไฟ การนำองค์ความรู้ไปใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม และเทคนิคการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่เกษตรกร และชาวบ้าน
หลังจากได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี โครงการคาดหวังว่า ภาคีเครือข่ายทั้ง 184 คนจะมีความรู้ความสามารถที่จะคัดเลือก และศึกษาคุณสมบัติของจุลินทรีย์สายพันธุ์ศักยภาพสูงจากธรรมชาติ ไว้ใช้หมักผักตบชวาได้เอง และมีความสามารถขยายหัวเชื้อดังกล่าวสำหรับใช้ในชุมชน รวมทั้งมีความสามารถในการปฏิบัติงานต่อก๊าซไวไฟที่ผลิตได้จากผักตบชวาด้วยความระมัดระวังเพื่อให้เกิดความปลอดภัย
อนึ่ง เนื่องจากโครงการฯ มีงบประมาณสนับสนุนให้สำหรับการดำเนินกิจกรรมจำนวนหนึ่ง ดังนั้น ภาคเอกชนที่สนใจร่วมสนับสนุนงบประมาณสำหรับการดำเนินการ สามารถติดต่อเพื่อร่วมบริจาคได้ที่คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ หรือกรณีหน่วยงาน/ผู้นำชุมชนที่ต้องการเข้าร่วมเป็นภาคีเครือข่าย โดยมีค่าใช้จ่ายจากงบประมาณจากหน่วยงานของตนเอง โปรดระบุในใบสมัครเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย
ขั้นตอนการผลิตก๊าซชีวภาพจากผักตบชวาด้วยจุลินทรีย์ธรรมชาติศักยภาพสูง ทำได้ง่าย โดยนำถังหมักมาแบ่งปริมาณออกเป็น 4 ส่วน ใส่ผักตบชวาที่บดสับแล้ว 1 ส่วน จุลินทรีย์ธรรมชาติศักยภาพสูง 1 ส่วน น้ำ 1 ส่วน และปล่อยให้มีพื้นที่ว่าง 1 ส่วน ผสมให้เข้ากันอย่างทั่วถึง จะเกิดก๊าซชีวภาพที่สามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ภายในเวลาประมาณ 10-15 วันแรก หลังจากนั้นสามารถเติมผักตบชวาเป็นระยะๆ การเกิดก๊าซจะลดลงในเวลาประมาณ 1-3 เดือน ซึ่งกากผักตบชวาหลังการหมักสามารถนำไปใช้คลุมโคนต้นไม้เพื่อเป็นวัสดุช่วยกักเก็บความชื้นในดินได้
ผู้สนใจสมัครเข้าร่วมเป็น 184 ภาคีเครือข่าย “ผลิตก๊าซชีวภาพจากผักตบชวา ด้วยจุลินทรีย์ธรรมชาติศักยภาพสูง” สามารถโหลดใบสมัครจากเว็บไซต์ www.flas.ku.ac.th และกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน ส่งไปรษณีย์ด่วนพิเศษมายัง รศ.ดร.จุรีย์รัตน์ ลีสมิทธิ์ คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม 73140 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อหมายเลขโทรศัพท์ 09-5054-8240 หรือ 08-3559-8448 อีเมล mppf@ku.ac.th หรือ molku@ku.ac.th ไลน์ ไอดี microku หรือ ajmaew
วันนี้ (15 ก.ย.) ดร.อนามัย ดำเนตร คณบดีคณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ (ศวท.) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสมิ่งมงคลของประชาชนชาวไทย คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ (ศวท.) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศาสตร์แห่งแผ่นดิน จะจัดโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้วยการผลิตก๊าซหุงต้มจากผักตบชวาขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเครือข่ายการแก้ปัญหาผักตบชวา ด้วยการเพิ่มมูลค่าให้แก่ผักตบชวา โดยการเปลี่ยนเป็นพลังงานทดแทน ซึ่งนอกจากจะเป็นการกำจัดผักตบชวาแล้ว ยังจะช่วยประหยัดรายจ่ายในครัวเรือนด้านพลังงานทดแทนได้ด้วย
“การจัดโครงการดังกล่าวจะใช้องค์ความรู้จากงานวิจัยของคณะวิจัย ได้แก่ รศ.ดร.จุรีย์รัตน์ ลีสมิทธิ์ รศ.จิตราภรณ์ ธวัชพันธุ์ และนายขวัญชัย นิ่มอนันต์ สังกัดคณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งองค์ความรู้ดังกล่าวนี้ได้ทำการอบรมไปแล้วในปี 2557 ที่มีผลงานเชิงประจักษ์แล้วว่าใช้ได้ผลจริง และเกษตรกรสามารถทำเองได้ง่าย และหลังจากนั้นก็ได้มีหน่วยงาน องค์กร และผู้นำชุมชนต่างๆ แสดงความต้องการเข้ารับการอบรมอย่างต่อเนื่องจำนวนมาก ดังนั้น ทาง ศวท.มก. จึงได้จัดโครงการนี้ขึ้นอีก และประกาศรับสมัคร 184 ภาคีเครือข่ายตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป” ดร.อนามัย กล่าว
รศ.ดร.จุรีย์รัตน์ ลีสมิทธิ์ รองผู้อำนวยการ กองงาน “หนึ่งใจ...ช่วยเหลือเกษตรกร” มูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์ ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี และผู้อำนวยการศูนย์ทรัพยากรจุลินทรีย์ เพื่อนพึ่ง (ภาฯ)-ศวท. เปิดเผยว่า ทีมวิจัยได้ประสบความสำเร็จในการวิจัย โดยได้ค้นพบจุลินทรีย์ธรรมชาติศักยภาพสูงที่สามารถย่อยผักตบชวาได้ผลผลิตเป็นก๊าซหุงต้ม หรือก๊าซชีวภาพ จากนั้นคณะทำงานได้ประยุกต์จากงานวิจัยที่ยุ่งยากซับซ้อนให้มาเป็นวิธีการอย่างง่ายที่เกษตรกร และผู้สนใจทั่วไปสามารถเรียนรู้ได้ และทำได้เองในชีวิตประจำวัน
“โครงการฯคาดหวังว่าภาคีเครือข่าย จำนวน 184 คนที่จะเกิดขี้นนี้จะเป็นกำลังสำคัญในการช่วยกันเพิ่มมูลค่าผักตบชวา โดยการเปลี่ยนให้เป็นพลังงานทดแทนสำหรับใช้เป็นก๊าซหุงต้มในครัวเรือนขนาดเล็ก หรือในชุมชนของตนได้ เมื่อใดที่ต้องการก๊าซหุงต้ม เมื่อนั้นเกษตรกรสามารถผลิตได้เองจากผักตบชวาที่อยู่ในแหล่งน้ำใกล้บ้าน” รศ.ดร.จุรีย์รัตน์ กล่าว
พร้อมกล่าวต่อว่า สำหรับคุณสมบัติผู้มีสิทธิสมัครเป็น 184 ภาคีเครือข่าย จุลินทรีย์ธรรมชาติ เพื่อผลิตก๊าซหุงต้มจากผักตบชวา ได้แก่ เป็นผู้มีคุณสมบัต อย่างน้อยข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ คือ เจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐ เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ทหารฯ ที่มีภารกิจเกี่ยวข้องต่อการดูแลประชาชน ตำแหน่งเทียบเท่าได้ไม่ต่ำกว่าข้าราชการระดับ 5 ขึ้นไป
หรือเป็นผู้นำชุมชน เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประธานศูนย์ฯ ประธานชุมชนฯ เครือข่ายของมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย หรือเป็นผู้นำชุมชน เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประธานศูนย์ฯ ประธานชุมชนฯ เครือข่ายของมูลนิธิมิราเคิลออฟไลฟ์ โดยต้องเป็นผู้อยู่ในพื้นที่ประสบปัญหาผักตบชวาทั่วประเทศไทย และมีศักยภาพในการนำองค์ความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้ โดยแต่ละหน่วยงาน/องค์กร สามารถเสนอผู้สมัครได้หน่วยงานละ 4 คน
หลังได้รับการตอบรับจากโครงการฯ ให้เข้าร่วมเป็นภาคีเครือข่ายแล้ว จะมีการอบรมวิธี “ผลิตก๊าซหุงต้มผักตบชวา ด้วยจุลินทรีย์ธรรมชาติศักยภาพสูง” เพื่อให้ภาคีเครือข่ายทั้ง 184 คน จาก 46 หน่วยงาน/องค์กรทั่วประเทศ มีความรู้ความเข้าใจที่จะนำไปประยุกต์ใช้จริงให้เกิดประสิทธิภาพในพื้นที่ที่ท่านดูแลได้ และเกิดประโยชน์อย่างยั่งยืน มีการคัดเลือก 5 หน่วยงาน/องค์กรจาก 46 หน่วยงาน/องค์กรที่เข้าร่วม เพื่อพัฒนาให้เกิดองค์ความรู้ที่ยั่งยืนอยู่คู่กับชุมชน พร้อมเป็นแหล่งเรียนรู้ และศึกษาดูงานต่อไป
“นอกจากนี้ ในโอกาสต่อไปที่คณะทำงานจะมีองค์ความรู้ใหม่ด้านจุลินทรีย์ หรือด้านการเกษตร จะได้มีการประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทั้ง 184 คนทั่วประเทศนี้ในการเผยแพร่และถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ถึงมือเกษตรกร และชาวบ้าน สมดังปณิธานของกองงาน “หนึ่งใจ...ช่วยเหลือเกษตรกร” มูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์ ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี และศูนย์ทรัพยากรจุลินทรีย์ เพื่อนพึ่ง (ภาฯ)-ศวท. มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย สืบไป”
รศ.ดร.จุรีย์รัตน์ กล่าวต่ออีกว่า กิจกรรมการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อสร้าง 184 ภาคีเครือข่าย “ผลิตก๊าซหุงต้มผักตบชวา ด้วยจุลินทรีย์ธรรมชาติศักยภาพสูง” จะจัดที่คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ใช้เวลานาน 1 วัน ประกอบด้วย การบรรยาย ปฏิบัติการ และฝึกอบรมองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ทฤษฎี และความรู้ที่จำเป็นเกี่ยวกับการผลิตก๊าซชีวภาพจากผักตบชวา โดยจุลินทรีย์ธรรมชาติศักยภาพสูง วิธีการคัดเลือกจุลินทรีย์ธรรมชาติศักยภาพสูงด้วยตนเอง การผลิตก๊าซชีวภาพจากผักตบชวาด้วยจุลินทรีย์ศักยภาพสูงจากธรรมชาติ การผลิตถังย่อยผักตบชวา และถังเก็บก๊าซอย่างปลอดภัย ข้อควรระมัดระวังในการทำงานกับก๊าซไวไฟ การนำองค์ความรู้ไปใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม และเทคนิคการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่เกษตรกร และชาวบ้าน
หลังจากได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี โครงการคาดหวังว่า ภาคีเครือข่ายทั้ง 184 คนจะมีความรู้ความสามารถที่จะคัดเลือก และศึกษาคุณสมบัติของจุลินทรีย์สายพันธุ์ศักยภาพสูงจากธรรมชาติ ไว้ใช้หมักผักตบชวาได้เอง และมีความสามารถขยายหัวเชื้อดังกล่าวสำหรับใช้ในชุมชน รวมทั้งมีความสามารถในการปฏิบัติงานต่อก๊าซไวไฟที่ผลิตได้จากผักตบชวาด้วยความระมัดระวังเพื่อให้เกิดความปลอดภัย
อนึ่ง เนื่องจากโครงการฯ มีงบประมาณสนับสนุนให้สำหรับการดำเนินกิจกรรมจำนวนหนึ่ง ดังนั้น ภาคเอกชนที่สนใจร่วมสนับสนุนงบประมาณสำหรับการดำเนินการ สามารถติดต่อเพื่อร่วมบริจาคได้ที่คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ หรือกรณีหน่วยงาน/ผู้นำชุมชนที่ต้องการเข้าร่วมเป็นภาคีเครือข่าย โดยมีค่าใช้จ่ายจากงบประมาณจากหน่วยงานของตนเอง โปรดระบุในใบสมัครเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย
ขั้นตอนการผลิตก๊าซชีวภาพจากผักตบชวาด้วยจุลินทรีย์ธรรมชาติศักยภาพสูง ทำได้ง่าย โดยนำถังหมักมาแบ่งปริมาณออกเป็น 4 ส่วน ใส่ผักตบชวาที่บดสับแล้ว 1 ส่วน จุลินทรีย์ธรรมชาติศักยภาพสูง 1 ส่วน น้ำ 1 ส่วน และปล่อยให้มีพื้นที่ว่าง 1 ส่วน ผสมให้เข้ากันอย่างทั่วถึง จะเกิดก๊าซชีวภาพที่สามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ภายในเวลาประมาณ 10-15 วันแรก หลังจากนั้นสามารถเติมผักตบชวาเป็นระยะๆ การเกิดก๊าซจะลดลงในเวลาประมาณ 1-3 เดือน ซึ่งกากผักตบชวาหลังการหมักสามารถนำไปใช้คลุมโคนต้นไม้เพื่อเป็นวัสดุช่วยกักเก็บความชื้นในดินได้
ผู้สนใจสมัครเข้าร่วมเป็น 184 ภาคีเครือข่าย “ผลิตก๊าซชีวภาพจากผักตบชวา ด้วยจุลินทรีย์ธรรมชาติศักยภาพสูง” สามารถโหลดใบสมัครจากเว็บไซต์ www.flas.ku.ac.th และกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน ส่งไปรษณีย์ด่วนพิเศษมายัง รศ.ดร.จุรีย์รัตน์ ลีสมิทธิ์ คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม 73140 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อหมายเลขโทรศัพท์ 09-5054-8240 หรือ 08-3559-8448 อีเมล mppf@ku.ac.th หรือ molku@ku.ac.th ไลน์ ไอดี microku หรือ ajmaew