ศูนย์ข่าวขอนแก่น - เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของทรัพยากรแร่ประเทศไทยคัดค้าน “ร่าง พ.ร.บ.แร่” ของ “ครม.ประยุทธ์” ชี้เร่งรีบผ่านไม่ตรงเจตนารมณ์ปฏิรูปการเมือง จวกจะคืนสุขให้ประชาชน แต่กลับทำร้ายความรู้สึกชาวบ้าน ลั่นค้านเหมืองโปแตชอุดรธานีถึงที่สุด
หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งนำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มีมติอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.แร่ พ.ศ. ... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ก่อนเสนอ สนช.พิจารณาตามลำดับนั้น
ร่าง พ.ร.บ.แร่ พ.ศ. ... เป็นการยกเลิกกฎหมายว่าด้วยแร่ และกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราค่าภาคหลวงแร่ทุกฉบับ ซึ่งมีสาระสำคัญอยู่หลายประเด็น อาทิ การลดขั้นตอนและกระบวนการพิจารณาอนุมัติ/อนุญาตให้สั้นลง ผู้ประกอบการสามารถรับบริการขออนุญาตทำเหมืองแล้วเสร็จในจุดเดียว หรือ One stop service กำหนดอัตราค่าภาคหลวงแร่ใหม่ และจัดสรรผลประโยชน์ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ยังแบ่งประเภทและการออกประทานบัตรการทำเหมืองแร่ออกเป็น 3 ประเภท คือ การทำเหมืองประเภทที่ 1 ได้แก่ การทำเหมืองในเนื้อที่ไม่เกิน 100 ไร่ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในเขตจังหวัดที่มีการทำเหมืองเป็นผู้ออกประทานบัตร ประเภทที่ 2 ได้แก่ การทำเหมืองในเนื้อที่ไม่เกิน 625 ไร่ ให้อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) เป็นผู้ออกประทานบัตร และประเภทที่ 3 ได้แก่ การทำเหมืองในทะเลการทำเหมืองใต้ดินตามที่กำหนดในหมวด 5 การทำเหมืองที่ไม่ใช่การทำเหมืองประเภทที่ 1 หรือการทำเหมืองประเภทที่ 2 ให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้ออกประทานบัตร ซึ่งปัจจุบันกฎหมายแร่ไม่ได้มีการแบ่งประเภท และรัฐมนตรีเป็นผู้ออกประทานบัตร
ล่าสุด องค์กรพัฒนาเอกชน หรือเอ็นจีโอ ที่ทำงานติดตามนโยบายการจัดการทรัพยากรแร่ และปัญหาการทำเหมืองแร่ที่มีผลกระทบต่อชุมชน และองค์กรชาวบ้านในพื้นที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ ในนาม “เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของทรัพยากรแร่ประเทศไทย” ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นคัดค้านต่อการผ่านร่างกฎหมายแร่ดังกล่าวของ ครม.
นายสุวิทย์ กุหลาบวงษ์ ผู้ประสานงานศูนย์ข้อมูลสิทธิมนุษยชนและสันติภาพ (ศสส.) อีสาน เปิดเผยว่า ตนมีเหตุผลที่ไม่เห็นด้วย ได้แก่ 1. รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ไม่ควรเร่งรีบฉกฉวยโอกาสผลักดันออกกฎหมายแร่ในขณะนี้ แต่ควรจะประเมินศักยภาพแร่ทั้งประเทศทุกชนิดว่ามีปริมาณเท่าไร อยู่ที่ไหนบ้าง และมีการใช้ประโยชน์อย่างไร แล้วประกาศให้สาธารณะทราบ 2. การกระจายอำนาจแบ่งประเภทการออกประทานบัตรตามร่างกฎหมายแร่ ฟังเหมือนจะดูดี แต่เป็นการกระจายการคอร์รัปชันมาสู่ทุกกระบวนการ ซึ่งในอนาคตนายทุนจะวิ่งเข้าหาผู้ว่าราชการจังหวัด เข้าหาท้องถิ่นได้ง่ายขึ้น 3. ปัญหาผลประโยชน์ ซึ่งประเทศชาติจะได้รับยังไม่มีความชัดเจน
“การเร่งรีบผ่านกฎหมายแร่ไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของการปฏิรูปการเมือง เพราะขณะนี้ประเทศไทยกำลังพูดถึงการปฏิรูปการเมือง สังคม และสิ่งแวดล้อม ผมจึงเห็นว่ายังไม่มีความจำเป็นให้ผ่าน อย่างน้อยก็ควรให้มีรัฐธรรมนูญที่ชัดเจนก่อน และให้กฎหมายแร่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ให้มีการเลือกตั้งเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับร่างกฎหมาย”
นายสุวิทย์กล่าวว่า ในส่วนของเครือข่ายเหมืองจะติดตามเนื้อหาของร่างกฎหมายแร่ร่วมกับคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) และจะคัดค้านการออกกฎหมายแร่ในทุกกระบวนการอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งการเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของ สนช.
ด้านนายสุรพันธ์ รุจิไชยวัฒน์ เลขานุการกลุ่มคนรักษ์บ้านเกิด ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ทองคำ อ.วังสะพุง จ.เลย กล่าวว่า เดิมทีการทำเหมืองแร่ทั้งหมดก็มีผลกระทบมากอยู่แล้ว โดยเฉพาะแร่ทองคำ และพิกัดอัตราก็ไม่เป็นธรรม ดังนั้นการที่ ครม.มีมติผ่านร่างกฎหมายแร่ ตนจึงเห็นว่าจะเป็นการเอื้อผลประโยชน์ให้ผู้ประกอบการสามารถขออนุญาตได้เร็วขึ้น ซึ่งปัญหาผลกระทบก็จะมีมากขึ้น สังคมและสิ่งแวดล้อมก็จะเสื่อมโทรมเร็วขึ้นตามไปด้วย เหมือนกับที่นี่ ที่ทหารกำลังเข้าควบคุมแร่ทองคำ เพื่อให้ดำเนินการได้เร็วขึ้น ง่ายขึ้น
นางสมหมาย หาญเตชะ ประธานกลุ่มคนรักษ์บ้านแหง พื้นที่การขอประทานบัตรเหมืองแร่ลิกไนต์ ต.บ้านแหง อ.งาว จ.ลำปาง กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายแร่ที่ ครม.ผ่านความเห็นชอบ โดยเฉพาะการเพิ่มอำนาจให้กับฝ่ายข้าราชการ ซึ่งจะทำให้กระบวนการอนุมัติ อนุญาตทำเหมืองง่ายขึ้น และหลบเลี่ยงการทำอีไอเอ (รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม) ทั้งนี้ หากยกตัวอย่างว่ามีการขอครั้งละ 100 ไร่ หลายแปลง โดยผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถอนุมัติได้เลย จะกลายเป็นพันเป็นหมื่นไร่ในที่สุด และมีปัญหาผลกระทบตามมามากมาย
ขณะที่นางมณี บุญรอด กรรมการกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี ชาวบ้านจากพื้นที่โครงการเหมืองแร่โปแตชอุดรธานี ซึ่งเป็นเหมืองใต้ดิน ที่อยู่ระหว่างการยื่นคำขอประทานบัตรของผู้ประกอบการ กล่าวว่า ที่ผ่านมาปัญหาการทำเหมืองแร่ก็มีสาเหตุมาจากการออกกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้นายทุน ซึ่งปัจจุบันผลกระทบก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข แล้วรัฐบาลยังจะมาผลักดันกฎหมายแร่อีก ซึ่งไม่มีความเป็นธรรม
และไม่สมกับคำว่า “จะคืนความสุขให้กับประชาชน” และเมื่อรัฐบาลไม่ฟังเสียงของประชาชน พวกเราก็จะต่อสู้คัดค้านจนถึงที่สุด
หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งนำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มีมติอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.แร่ พ.ศ. ... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ก่อนเสนอ สนช.พิจารณาตามลำดับนั้น
ร่าง พ.ร.บ.แร่ พ.ศ. ... เป็นการยกเลิกกฎหมายว่าด้วยแร่ และกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราค่าภาคหลวงแร่ทุกฉบับ ซึ่งมีสาระสำคัญอยู่หลายประเด็น อาทิ การลดขั้นตอนและกระบวนการพิจารณาอนุมัติ/อนุญาตให้สั้นลง ผู้ประกอบการสามารถรับบริการขออนุญาตทำเหมืองแล้วเสร็จในจุดเดียว หรือ One stop service กำหนดอัตราค่าภาคหลวงแร่ใหม่ และจัดสรรผลประโยชน์ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ยังแบ่งประเภทและการออกประทานบัตรการทำเหมืองแร่ออกเป็น 3 ประเภท คือ การทำเหมืองประเภทที่ 1 ได้แก่ การทำเหมืองในเนื้อที่ไม่เกิน 100 ไร่ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในเขตจังหวัดที่มีการทำเหมืองเป็นผู้ออกประทานบัตร ประเภทที่ 2 ได้แก่ การทำเหมืองในเนื้อที่ไม่เกิน 625 ไร่ ให้อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) เป็นผู้ออกประทานบัตร และประเภทที่ 3 ได้แก่ การทำเหมืองในทะเลการทำเหมืองใต้ดินตามที่กำหนดในหมวด 5 การทำเหมืองที่ไม่ใช่การทำเหมืองประเภทที่ 1 หรือการทำเหมืองประเภทที่ 2 ให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้ออกประทานบัตร ซึ่งปัจจุบันกฎหมายแร่ไม่ได้มีการแบ่งประเภท และรัฐมนตรีเป็นผู้ออกประทานบัตร
ล่าสุด องค์กรพัฒนาเอกชน หรือเอ็นจีโอ ที่ทำงานติดตามนโยบายการจัดการทรัพยากรแร่ และปัญหาการทำเหมืองแร่ที่มีผลกระทบต่อชุมชน และองค์กรชาวบ้านในพื้นที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ ในนาม “เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของทรัพยากรแร่ประเทศไทย” ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นคัดค้านต่อการผ่านร่างกฎหมายแร่ดังกล่าวของ ครม.
นายสุวิทย์ กุหลาบวงษ์ ผู้ประสานงานศูนย์ข้อมูลสิทธิมนุษยชนและสันติภาพ (ศสส.) อีสาน เปิดเผยว่า ตนมีเหตุผลที่ไม่เห็นด้วย ได้แก่ 1. รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ไม่ควรเร่งรีบฉกฉวยโอกาสผลักดันออกกฎหมายแร่ในขณะนี้ แต่ควรจะประเมินศักยภาพแร่ทั้งประเทศทุกชนิดว่ามีปริมาณเท่าไร อยู่ที่ไหนบ้าง และมีการใช้ประโยชน์อย่างไร แล้วประกาศให้สาธารณะทราบ 2. การกระจายอำนาจแบ่งประเภทการออกประทานบัตรตามร่างกฎหมายแร่ ฟังเหมือนจะดูดี แต่เป็นการกระจายการคอร์รัปชันมาสู่ทุกกระบวนการ ซึ่งในอนาคตนายทุนจะวิ่งเข้าหาผู้ว่าราชการจังหวัด เข้าหาท้องถิ่นได้ง่ายขึ้น 3. ปัญหาผลประโยชน์ ซึ่งประเทศชาติจะได้รับยังไม่มีความชัดเจน
“การเร่งรีบผ่านกฎหมายแร่ไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของการปฏิรูปการเมือง เพราะขณะนี้ประเทศไทยกำลังพูดถึงการปฏิรูปการเมือง สังคม และสิ่งแวดล้อม ผมจึงเห็นว่ายังไม่มีความจำเป็นให้ผ่าน อย่างน้อยก็ควรให้มีรัฐธรรมนูญที่ชัดเจนก่อน และให้กฎหมายแร่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ให้มีการเลือกตั้งเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับร่างกฎหมาย”
นายสุวิทย์กล่าวว่า ในส่วนของเครือข่ายเหมืองจะติดตามเนื้อหาของร่างกฎหมายแร่ร่วมกับคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) และจะคัดค้านการออกกฎหมายแร่ในทุกกระบวนการอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งการเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของ สนช.
ด้านนายสุรพันธ์ รุจิไชยวัฒน์ เลขานุการกลุ่มคนรักษ์บ้านเกิด ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ทองคำ อ.วังสะพุง จ.เลย กล่าวว่า เดิมทีการทำเหมืองแร่ทั้งหมดก็มีผลกระทบมากอยู่แล้ว โดยเฉพาะแร่ทองคำ และพิกัดอัตราก็ไม่เป็นธรรม ดังนั้นการที่ ครม.มีมติผ่านร่างกฎหมายแร่ ตนจึงเห็นว่าจะเป็นการเอื้อผลประโยชน์ให้ผู้ประกอบการสามารถขออนุญาตได้เร็วขึ้น ซึ่งปัญหาผลกระทบก็จะมีมากขึ้น สังคมและสิ่งแวดล้อมก็จะเสื่อมโทรมเร็วขึ้นตามไปด้วย เหมือนกับที่นี่ ที่ทหารกำลังเข้าควบคุมแร่ทองคำ เพื่อให้ดำเนินการได้เร็วขึ้น ง่ายขึ้น
นางสมหมาย หาญเตชะ ประธานกลุ่มคนรักษ์บ้านแหง พื้นที่การขอประทานบัตรเหมืองแร่ลิกไนต์ ต.บ้านแหง อ.งาว จ.ลำปาง กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายแร่ที่ ครม.ผ่านความเห็นชอบ โดยเฉพาะการเพิ่มอำนาจให้กับฝ่ายข้าราชการ ซึ่งจะทำให้กระบวนการอนุมัติ อนุญาตทำเหมืองง่ายขึ้น และหลบเลี่ยงการทำอีไอเอ (รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม) ทั้งนี้ หากยกตัวอย่างว่ามีการขอครั้งละ 100 ไร่ หลายแปลง โดยผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถอนุมัติได้เลย จะกลายเป็นพันเป็นหมื่นไร่ในที่สุด และมีปัญหาผลกระทบตามมามากมาย
ขณะที่นางมณี บุญรอด กรรมการกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี ชาวบ้านจากพื้นที่โครงการเหมืองแร่โปแตชอุดรธานี ซึ่งเป็นเหมืองใต้ดิน ที่อยู่ระหว่างการยื่นคำขอประทานบัตรของผู้ประกอบการ กล่าวว่า ที่ผ่านมาปัญหาการทำเหมืองแร่ก็มีสาเหตุมาจากการออกกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้นายทุน ซึ่งปัจจุบันผลกระทบก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข แล้วรัฐบาลยังจะมาผลักดันกฎหมายแร่อีก ซึ่งไม่มีความเป็นธรรม
และไม่สมกับคำว่า “จะคืนความสุขให้กับประชาชน” และเมื่อรัฐบาลไม่ฟังเสียงของประชาชน พวกเราก็จะต่อสู้คัดค้านจนถึงที่สุด