ผู้จัดการรายวัน 360 - “อัครา รีซอร์สเซส”ร้องรัฐขอความเป็นธรรม ให้รอผลตรวจสอบจากคณะกรรมการชุดที่ก.อุตสาหกรรม และก.สาธารณสุข ก่อน ชี้ผลกระทบปิดเหมืองทองคำสิ้นปีนี้ทำให้บริษัทเสียหาย 4 หมื่นล้านบาท ขณะที่ซีอีโอคิงส์เกตฯ เตรียมบินจากออสเตรเลียมาพบรมว.อุตสาหกรรมสัปดาห์หน้า
นายสิโรจ ประเสริฐผล ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) แถลงเปิดใจจากกรณีที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 10 พ.ค. ที่ผ่านมา ให้ยุติการอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ทองคำและประทานบัตรทำเหมืองทองคำ และคำขอต่ออายุประทานบัตรทั่วประเทศ ส่วนอัคราฯ มีมติให้ต่ออายุใบอนุญาตประกอบโลหกรรมไปจนถึงสิ้นปี 2559 ว่า เรื่องดังกล่าวได้สร้างความประหลาดใจและผิดหวังให้กับพนักงานและชุมชนในพื้นที่รอบเหมืองแร่ทองคำชาตรี โดยล่าสุดประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) บริษัทคิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในอัคราฯ 48%จะเดินทางมาไทยในสัปดาห์หน้า เพื่อเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เพราะมีความกังวลต่ออนาคตของอัคราฯหลังทราบมติครม.ดังกล่าว
โดยตลอดระยะเวลา 15 ปีที่เหมืองทองคำอัคราฯ ดำเนินการมาใช้ดำเนินธุรกิจไปแล้ว 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นเงินลงทุนในเครื่องจักร 1.4 หมื่นล้านบาท และในอนาคตจะลงทุนเพิ่มอีก 3 หมื่นล้านบาท ตลอดอายุสัมปทานเหมืองทองคำ ซึ่งมติครม.ออกมาให้ปิดเหมืองภายในสิ้นปีนี้จะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตพนักงานและครอบครัวกว่า 4 พันคนที่ต้องขาดรายได้และต้องย้ายถิ่นฐานไปทำงานที่อื่น รวมทั้งผลกระทบต่เศรษฐกิจในพื้นที่อย่างชัดเจน เนื่องจากแต่ละปี บริษัทฯได้จ่ายค่าภาคหลวงเฉลี่ย 400 ล้านบาท โดย 40%ไปเพชรบูรณ์กับพิจิตร และเสียภาษีให้กับรัฐอีก 100 ล้านบาท
ปัจจุบัน อัคราฯมีหนี้สินจากการขยายกำลังการผลิตโรงถลุงทองคำเมื่อปี 2555 รวม 2.2 พันล้านบาท อัตราหนี้สินต่อทุน 0.4 เท่า โดยหนี้สินจะชำระครบใน 3ปีข้างหน้า ล่าสุดเจ้าหนี้แบงก์ได้มีการติดต่อสอบถามเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น โดยยังไม่มีสัญญาณว่าจะเร่งรัดชำระหนี้แต่อย่างใด
นายเชิดศักดิ์ อรรถอารุณ ผู้จัดการฝ่ายประสานกิจการภายนอก บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯขอความเป็นธรรมจากภาครัฐให้เห็นใจผู้ประกอบการที่ดำเนินงานตามกฎหมายและใส่ใจต่อชุมชนบริเวณรอบเหมืองมาโดยตลอด โดยขอเรียกร้องให้คณะกรรมการชุดที่กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการหาข้อเท็จจริงของสาเหตุความขัดแย้งด้านผลกระทบที่มีต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณรอบเหมืองแร่ทองคำชาตรี ตามหลักของวิทยาศาสตร์และธรณีวิทยา เพื่อให้เกิดความกระจ่าง และสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นต่อทุกฝ่าย หากผลสรุประบุว่าบริษัทฯเป็นสาเหตุที่ส่งผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมก็พร้อมที่จะปิดตัวลงแต่ถ้าไม่ใช่ก็อยากขอให้รัฐให้ความเป็นธรรมต่อบริษัทฯ
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยินดีให้ความร่วมมือในทุกด้านอย่างเต็มที่ เพื่อให้ความจริงปรากฎชัด ซึ่งจะนำไปสู่มาตรฐานที่เป็นต้นแบบของอุตสาหกรรมเหมืองแร่ทองคำในประเทศไทยต่อไป
นายเชิดศักดิ์ กล่าวว่าส่วนจะดำเนินการฟ้องร้องศาลหรือไม่นั้น บริษัทฯขอดูรายละเอียดหนังสือสั่งการอย่างเป็นทางการจากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ก่อนว่าจะให้บริษัทดำเนินการทำหรือไม่ทำอะไรก่อน
“บริษัทจะดูทุกช่องทางทางกฎหมายทั้งในและต่างประเทศ ทางเราจะปรึกษาทนายก่อนว่าจะฟ้องหรือไม่ แต่เรายืนยันว่าเราทำทุกอย่างตามกฎหมาย การทำธุรกิจอยู่ภายใต้กฎหมาย และหากพนักงานจะไปฟ้องร้องเองก็เป็นสิทธิของพนักงาน เพราะได้รับผลกระทบจากมติครม.ดังกล่าว“
ทั้งนี้ หากเหมืองทองคำชาตรีต้องปิดตัวลงในสิ้นปีนี้ คาดว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบริษัทฯจะสูงถึง 4 หมื่นล้านบาทตลอดช่วงเวลา 7 ปีที่ไม่ได้ดำเนินการผลิตทองคำ ซึ่งปัจจุบันปริมาณแร่ทองคำเหลืออยู่ในพื้นที่สัมปทานทั้ง 14 แปลง 30 ตันจากทั้งหมด 80ตัน โดยในช่วง 15ปีที่ผ่านมา บริษัทฯได้นำทองคำขึ้นมาแล้ว 50 ตันดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่บริษัทจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ 7เดือนในการนำแร่ทองคำขึ้นมาถลุงได้ทั้งหมด โดยแต่ละปีบริษัทฯสามารถผลิตทองคำได้เพียง 1.2 แสนออนซ์หรือประมาณ 5ตัน/ปี
นายสิโรจ ประเสริฐผล ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) แถลงเปิดใจจากกรณีที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 10 พ.ค. ที่ผ่านมา ให้ยุติการอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ทองคำและประทานบัตรทำเหมืองทองคำ และคำขอต่ออายุประทานบัตรทั่วประเทศ ส่วนอัคราฯ มีมติให้ต่ออายุใบอนุญาตประกอบโลหกรรมไปจนถึงสิ้นปี 2559 ว่า เรื่องดังกล่าวได้สร้างความประหลาดใจและผิดหวังให้กับพนักงานและชุมชนในพื้นที่รอบเหมืองแร่ทองคำชาตรี โดยล่าสุดประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) บริษัทคิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในอัคราฯ 48%จะเดินทางมาไทยในสัปดาห์หน้า เพื่อเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เพราะมีความกังวลต่ออนาคตของอัคราฯหลังทราบมติครม.ดังกล่าว
โดยตลอดระยะเวลา 15 ปีที่เหมืองทองคำอัคราฯ ดำเนินการมาใช้ดำเนินธุรกิจไปแล้ว 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นเงินลงทุนในเครื่องจักร 1.4 หมื่นล้านบาท และในอนาคตจะลงทุนเพิ่มอีก 3 หมื่นล้านบาท ตลอดอายุสัมปทานเหมืองทองคำ ซึ่งมติครม.ออกมาให้ปิดเหมืองภายในสิ้นปีนี้จะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตพนักงานและครอบครัวกว่า 4 พันคนที่ต้องขาดรายได้และต้องย้ายถิ่นฐานไปทำงานที่อื่น รวมทั้งผลกระทบต่เศรษฐกิจในพื้นที่อย่างชัดเจน เนื่องจากแต่ละปี บริษัทฯได้จ่ายค่าภาคหลวงเฉลี่ย 400 ล้านบาท โดย 40%ไปเพชรบูรณ์กับพิจิตร และเสียภาษีให้กับรัฐอีก 100 ล้านบาท
ปัจจุบัน อัคราฯมีหนี้สินจากการขยายกำลังการผลิตโรงถลุงทองคำเมื่อปี 2555 รวม 2.2 พันล้านบาท อัตราหนี้สินต่อทุน 0.4 เท่า โดยหนี้สินจะชำระครบใน 3ปีข้างหน้า ล่าสุดเจ้าหนี้แบงก์ได้มีการติดต่อสอบถามเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น โดยยังไม่มีสัญญาณว่าจะเร่งรัดชำระหนี้แต่อย่างใด
นายเชิดศักดิ์ อรรถอารุณ ผู้จัดการฝ่ายประสานกิจการภายนอก บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯขอความเป็นธรรมจากภาครัฐให้เห็นใจผู้ประกอบการที่ดำเนินงานตามกฎหมายและใส่ใจต่อชุมชนบริเวณรอบเหมืองมาโดยตลอด โดยขอเรียกร้องให้คณะกรรมการชุดที่กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการหาข้อเท็จจริงของสาเหตุความขัดแย้งด้านผลกระทบที่มีต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณรอบเหมืองแร่ทองคำชาตรี ตามหลักของวิทยาศาสตร์และธรณีวิทยา เพื่อให้เกิดความกระจ่าง และสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นต่อทุกฝ่าย หากผลสรุประบุว่าบริษัทฯเป็นสาเหตุที่ส่งผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมก็พร้อมที่จะปิดตัวลงแต่ถ้าไม่ใช่ก็อยากขอให้รัฐให้ความเป็นธรรมต่อบริษัทฯ
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยินดีให้ความร่วมมือในทุกด้านอย่างเต็มที่ เพื่อให้ความจริงปรากฎชัด ซึ่งจะนำไปสู่มาตรฐานที่เป็นต้นแบบของอุตสาหกรรมเหมืองแร่ทองคำในประเทศไทยต่อไป
นายเชิดศักดิ์ กล่าวว่าส่วนจะดำเนินการฟ้องร้องศาลหรือไม่นั้น บริษัทฯขอดูรายละเอียดหนังสือสั่งการอย่างเป็นทางการจากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ก่อนว่าจะให้บริษัทดำเนินการทำหรือไม่ทำอะไรก่อน
“บริษัทจะดูทุกช่องทางทางกฎหมายทั้งในและต่างประเทศ ทางเราจะปรึกษาทนายก่อนว่าจะฟ้องหรือไม่ แต่เรายืนยันว่าเราทำทุกอย่างตามกฎหมาย การทำธุรกิจอยู่ภายใต้กฎหมาย และหากพนักงานจะไปฟ้องร้องเองก็เป็นสิทธิของพนักงาน เพราะได้รับผลกระทบจากมติครม.ดังกล่าว“
ทั้งนี้ หากเหมืองทองคำชาตรีต้องปิดตัวลงในสิ้นปีนี้ คาดว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบริษัทฯจะสูงถึง 4 หมื่นล้านบาทตลอดช่วงเวลา 7 ปีที่ไม่ได้ดำเนินการผลิตทองคำ ซึ่งปัจจุบันปริมาณแร่ทองคำเหลืออยู่ในพื้นที่สัมปทานทั้ง 14 แปลง 30 ตันจากทั้งหมด 80ตัน โดยในช่วง 15ปีที่ผ่านมา บริษัทฯได้นำทองคำขึ้นมาแล้ว 50 ตันดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่บริษัทจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ 7เดือนในการนำแร่ทองคำขึ้นมาถลุงได้ทั้งหมด โดยแต่ละปีบริษัทฯสามารถผลิตทองคำได้เพียง 1.2 แสนออนซ์หรือประมาณ 5ตัน/ปี