ทีมข่าวพิเศษของ “ASTVผู้จัดการ” ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ และพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อตอบปัญหาของสังคมในประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับบุคคลที่อ้างตัวว่าเป็น “หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก” และได้พบแง่มุมใหม่ๆ ที่คาดไม่ถึง โดยจะนำเสนอเรื่องราวทั้งหมดอย่างต่อเนื่อง
เปิด “บ้านทรายมูล” อุบลฯ แหล่งใหญ่ซุกทรัพย์ “ไอ้คำ” แฉขนถ่ายเงินสด ทองคำจากวัดเถื่อนขันติธรรม ศรีสะเกษ มุ่งตรงบ้านเกิด กระจายหลายจุดในหลายรูปแบบ ทั้งนำเข้าธนาคาร และยัด 2 ตู้เซฟยักษ์ในห้องนอน ซื้อที่ดินให้พ่อแม่ เปิดธุรกิจให้ญาติพี่น้องดูแล สร้างศูนย์แสดงสินค้า ที่พักหรูไว้รองรับหลังโกยสมใจ ผงะผุดวังใหญ่โตลึกลับมีกำแพงสูงกว่า 5 เมตร ล้อมรอบ 2 ชั้น บนพื้นที่ 27 ไร่ กลางทุ่งนา พร้อมอู่ซ่อมรถ ลือซ่อนรถหรู เอี่ยวยาเสพติด และขบวนการธุรกิจมืด
ที่พักสงฆ์วัดป่าขันติธรรม หรือวัดเถื่อนขันติธรรม บ้านยาง ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ บนพื้นที่กว่า 30 ไร่ ที่ พระวิรพล ฉัตติโก หรือหลวงปู่เณรคำ เป็นประธานสงฆ์ ถือเป็นเพียงสถานที่ประกอบกิจการฉ้อโกงต้มตุ๋นหลอกลวงประชาชนญาติโยมที่หลงเชื่อศรัทธาสารพัดรูปแบบในการกอบโกยทรัพย์สินเงินทอง เพื่อนำไปเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัว และปรนเปรอญาติพี่น้อง รวมทั้งเหล่าแฟนสาว ของ“ไอ้คำ” และพวกเท่านั้น
ดังคำพูดของชาวบ้านยาง ที่บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไอ้คำ” ไม่ได้จำวัดที่นี่มานานแล้ว จะโผล่มาเมื่อมีการจัดงานหาเงิน หลังเสร็จงานแล้วก็หอบเงินทองที่ญาติโยมประชาชนจากทั่วสารทิศหลั่งไหลที่มาร่วมงานได้บริจาค และทำบุญขนขึ้นรถขับออกจากวัดไป
“ไอ้คำ” กระจายซุกทรัพย์บ้านทรายมูล
อดีตลูกศิษย์หลวงปู่เณรคำ เปิดเผยว่า เงินสด ทองคำ จำนวนมากที่ “ไอ้คำ” ขนมาจากวัดป่าขันติธรรม และจากที่อื่นๆ ปลายทางส่วนใหญ่จะมุ่งมาที่บ้านทรายมูล ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ “ไอ้คำ”และบางส่วนได้ถ่ายโอนไปในรูปแบบต่างๆ ทั้งนำเข้าบัญชีธนาคารส่วนตัวที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก โดยธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาอุบลราชธานี นั้น “ไอ้คำ” ไว้วางใจใช้บริการมากเป็นพิเศษ จึงไม่แปลกที่ผลการตรวจสอบเส้นทางการเงินล่าสุดของ ปปง. และดีเอสไอ ระบุว่า บัญชีเงินฝากธนาคารที่เกี่ยวข้องกับ “ไอ้คำ” รวมกว่า 41 บัญชี นั้น เป็นบัญชีของธนาคารไทยพาณิชย์ มากถึง 27 บัญชี
นอกจากนั้น ยังได้ซื้อที่ดิน สร้างสิ่งปลูกสร้าง เปิดกิจการธุรกิจอู่ซ่อมรถยนต์ให้ญาติพี่น้องดูแล และซื้อรถยนต์หรู มอเตอร์ไซค์ราคาแพง เรือเร็วสปีดโบต (SPEED BOAT) และเครื่องบินเจ็ต ที่เพิ่งควงแขน “จ.” กิ๊กสาวใหญ่เศรษฐีกรุงเทพฯ บินไปทำสัญญาซื้อที่สหรัฐอเมริกาเมื่อช่วงปีใหม่ 2556 ที่ผ่านมา รวมทั้งซื้อบ้านพักหรูไว้ที่เลคเอลซินอร์ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เป็นต้น
ทั้งนี้ การทำธุรกรรม นิติกรรมต่างๆ เกี่ยวทรัพย์สินจำนวนมากเหล่านี้ “ไอ้คำ” ทำในนามของตัวเองทั้งหมดโดยสะดวก เนื่องจากในตัวคนคนเดียวนี้สามารถเป็นพระ หรือฆราวาส ได้ตามใจปรารถนา เพราะมีทั้งใบสุทธิบัตร พระวิรพล ฉัตติโก ที่ 17/2537 สังกัดวัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.อุบลราชธานี รับเข้าสังกัด เมื่อ 12 เม.ย.2549 พร้อมระบุหมายเหตุ ไปเป็นประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ และบัตรประจำตัวประชาชน พิเศษสุดแตกต่างจากพระเณรทั่วไป
กล่าวคือ บัตรประจำตัวประชาชนของพระเณรตามปกติ ชื่อไม่มีคำนำว่า “นาย” นำหน้า และนามสกุล จะระบุฉายาไว้ด้วย ส่วนที่อยู่เป็นวัดต้นสังกัด แต่บัตรประจำตัวประชาชนของ “ไอ้คำ” เลขที่ 3341900288143 นั้น เหมือนประชาชนทั่วไปทุกประการ คือ ระบุชื่อ-สกุล ว่า “นายวิรพล สุขผล” โดยไม่ระบุฉายา “ฉัตติโก” ไว้ ส่วนที่อยู่กลับไม่ใช่วัดต้นสังกัด แต่เป็นที่อยู่ “158 หมู่ 10 ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี ”
เงินสด ทองคำ ยัดตู้เซฟยักษ์ในห้องนอน
แหล่งซุกทรัพย์ของ “ไอ้คำ” ในบ้านทรายมูล กระจายอยู่หลายแห่ง เริ่มจากบ้านพ่อแม่ของ “ไอ้คำ” ซึ่งเป็นบ้านชั้นเดียวขนาดใหญ่ตามเป็นที่เป็นข่าว คือ บ้านเลขที่ 999/10 บ้านทรายมูล หมู่ 2 ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร ซึ่งตั้งอยู่ติดลำน้ำมูล บนพื้นที่ประมาณ 300 ตารางวา ห่างจาก ถนนทางหลวงชนบทหมายเลข 2222 สายพิมูลมังสาหาร-โขงเจียม เข้าไปประมาณ 1 กิโลเมตร(กม.) เดิมเป็นบ้านไม้เก่าทรุดโทรม “ไอ้คำ” ได้ขนเงินมาขึ้นสร้างใหม่ให้หมด และบริเวณเดียวด้านขวามือจากประตูทางเข้า ได้สร้างเป็นบ้านอาคารขนาด 2 ชั้นขึ้นมา สำหรับเป็นที่อยู่อาศัยหลับนอนประจำของ “ไอ้คำ” พร้อมก่อกำแพงเป็นรั้วคอนกรีตสูงรอบบริเวณบ้านมีรูปดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ติดกำแพงทุกช่วงเสา และประตูเข้า-ออกบ้านทำด้วยเหล็กสเตนเลสขนาดใหญ่แน่นหนา ควบคุมเปิด-ปิด ด้วยระบบรีโมตคอนโทรล
แหล่งข่าวอดีตลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดเปิดเผย ว่า ในห้องนอนของ “ไอ้คำ” บนบ้านอาคาร 2 ชั้นดังกล่าว จะมีตู้ขนาดนิรภัยขนาดใหญ่มาก ตั้งอยู่จำนวน 2 ตู้ ซึ่งเป็นตู้เซฟที่ “ไอ้คำ” หวงแหนมากเพราะใช้เก็บเงินสด และทองคำไว้เป็นจำนวนมหาศาล ฉะนั้นห้องนอนแห่งนี้เขาจะไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปเด็ดขาด ไม่เว้นแม้แต่พ่อแม่ และพี่น้องของตัวเอง จึงมีน้อยคนมากที่มีโอกาสเล็ดลอดเข้าไปได้
ภายในบ้านหลังนี้ ยังเป็นสถานที่เก็บจักรยานยนต์ชอปเปอร์ราคาแพง และรถยนต์หรูอีกหลายคัน รวมทั้งเรือสปีดโบต 1 ลำ ราคามากกว่า 2 ล้านบาท สปีดโบตลำนี้ “ไอ้คำ” จะขับซิ่งด้วยตัวเองในการใช้เดินทางตามลำแม่น้ำมูล จากบ้านไปที่วัดป่าดอนธาตุ ต.ทรายมูล อ.พิมูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำมูล สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านที่อาศัย และทำมาหากินตามลำน้ำอยู่เป็นประจำ ทุกครั้งที่กลับมาพักบ้านพ่อแม่ ทั้งนี้ เพื่อไปหาหลวงปู่สมบูรณ์ ขันติโก อาจารย์ที่เขาเคารพนับถือ ซึ่งหลวงปู่สมบูรณ์ จะเรียกไอ้คำว่า “สีวลี” (พระภิกษุเป็นเลิศในทางผู้มีลาภมาก) และเป็นวัดที่ “ไอ้คำ” อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อปี 2542
ตอแหลขนเงินสร้างศูนย์แสดงสินค้า-ที่พักหรู 500 ล้าน
นอกจากนี้ “ไอ้คำ” ยังได้ซื้อที่ดินบริเวณติดกับด้านหลังบ้านพ่อแม่ดังกล่าว เพิ่มอีกประมาณ 3 ไร่ เพื่อใช้ก่อสร้างเป็นอาคารขนาดใหญ่รูปทรงทันสมัย สูงประมาณ 4 ชั้น โดยเริ่มก่อสร้างปี 2550 ปัจจุบัน ในส่วนตัวอาคารสร้างเสร็จไปแล้วราว 70% ซึ่งสถานที่แห่งนี้ “ไอ้คำ” อ้างว่าเป็น “ตึกมูลนิธิส่งเสริมคุณธรรมและคุณภาพชีวิต” เพื่อหลอกลวงนำเงินบริจาคทำบุญของญาติโยมมาลงทุนดำเนินการทั้งหมด แต่ความจริงแล้ว ต้องการสร้างเป็นศูนย์แสดงสินค้าราคาแพง สถานที่พักหรูหรา มีอ่างจากุชชี่ มูลค่าก่อสร้างประมาณ 500 ล้านบาท ภายในอาคารจึงมีการซอยย่อยเป็นห้องจำนวนมาก โดยว่าจ้างบริษัทออกแบบ และตกแต่งภายในแห่งหนึ่งกว่า 2 ล้านบาท มาออกแบบไว้ให้อย่างหรูหรา แต่ถูก “ไอ้คำ” จอมแสบเบี้ยวค่าจ้างจนบริษัทจำต้องออกมาแฉตามที่เป็นข่าว
กรณีนี้เคยมีปัญหาขัดแย้งกันเองภายในบรรดาลูกศิษย์กลุ่มเดิม เนื่องจากพบมีการหมกเม็ด โยกย้ายวัสดุก่อสร้างโครงการสร้างพระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก จากวัดเถื่อนขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ มาสร้างตึกแห่งนี้ และนำค่าใช้จ่ายสร้างตึกแห่งนี้ไปเบิกเงินในโครงการสร้างพระแก้วมรกตจำลอง ทำให้กลุ่มที่รับผิดชอบก่อสร้างสร้างพระแก้วฯ ที่วัดป่าขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ ไม่พอใจเปิดศึกทะเลาะกันมาหลายยก
ผุดวังใหญ่โตลึกลับ 27 ไร่ ลือซ่อนรถหรู เอี่ยวธุรกิจมืด
ห่างจากบ้านเดิมของพ่อแม่หลังดังกล่าวข้างต้นออกไปทางทิศเหนือ ประมาณ 1 กิโลเมตร ในเขตพื้นที่บ้านทรายมูล หมู่ 10 ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร และลึกจากริมถนนสายพิบูลมังสาหาร-โขงเจียม บริเวณหลัก กม.7 เข้าไปอีกประมาณ 500-600 เมตร พบมีสถานที่ลึกลับขนาดใหญ่โตตั้งอยู่บนพื้นที่เป็นบริเวณกว้างหลายสิบไร่ และก่อสร้างกำแพงคอนกรีตสูงกว่า 4-5 เมตร เป็นรั้วล้อมรอบไว้อย่างแน่นหนาไม่ต่างจากกำแพงเรือนจำ อีกทั้งยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างต่อกำแพงสูงขึ้นไปอีก
ส่วนประตูด้านหน้าขนาดใหญ่ถูกปิดตายไม่ให้ใครเข้า-ออกได้ มีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่หลายตัว และบริเวณข้างประตูทางเข้าด้านใน ยังมีอาคารที่ทำการตู้ยามรักษาความปลอดภัยติดกระจกมืด พร้อมแอร์คอนดิชันตั้งอยู่ด้วย ทราบว่า “ไอ้คำ” ได้จัดกำลังญาติพี่น้องมา 5 คน เป็นการ์ดดูแลเข้มสถานที่แห่งนี้ตลอด 24 ชั่วโมง
สอบถามผู้ดูแลรายหนึ่งบอกว่า สถานที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งสำนักสงฆ์ป่าขันติบารมี สาขาที่ 1 บ้านทรายมูล ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.ศรีสะเกษ แต่ขณะนี้สร้างยังไม่เสร็จสมบูรณ์ หลวงปู่เณรคำ จึงให้ปิดตายเอาไว้ ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปข้างในโดยเด็ดขาด
แหล่งข่าวอดีตลูกศิษย์ใกล้ชิดเปิดเผยว่า สถานที่แห่งนี้แท้จริงคือคฤหาสน์ ของ “ไอ้คำ” ที่สร้างขึ้นเสมือนเป็นวังเจ้านายขนาดใหญ่ บนที่ดินทุ่งนาของผู้เป็นแม่ รวมพื้นที่ประมาณ 27-28 ไร่ โดยบริเวณภายในยังแบ่งออกเป็นอีก 2 ชั้น กั้นด้วยกำแพงสูงเช่นกัน โดยพื้นที่ชั้นแรก บริเวณด้านหน้ากำลังก่อสร้างเป็นอาคารศาลาขนาดใหญ่ และบริเวณด้านหลังของชั้นแรกสร้างเป็นที่อาคารที่พักสงฆ์ ประมาณ 20 ห้อง พร้อมห้องน้ำ 50-60 ห้อง
ส่วนชั้นที่ 2 ที่มีกำแพงกั้นอีกชั้นหนึ่ง บริเวณภายในมีบ้านหรูหราโอ่อ่า รูปทรงแบบจีนของ “ไอ้คำ” ตั้งอยู่ จำนวน 4 หลัง โดยสร้างเป็นลักษณะระเบียงคดล้อมรอบลานด้านใน ทุกหลังตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาแพง และติดตั้งแอร์คอนดิชันทุกห้อง และก่อนมีข่าวฉาว “ไอ้คำ” ได้ใช้วังแห่งนี้จัดงานฉลองครบรอบวันเกิดให้แก่ตัวเองหลายครั้ง
คฤหาสน์ ของ “ไอ้คำ” แห่งนี้ เริ่มก่อสร้างประมาณ ปี 2552-2553 โดยหลอกเหล่าแม่ยก ญาติโยมประชาชนทั้งหลายว่า เป็นสำนักสงฆ์ป่าขันติบารมี สาขา 1 เพื่อหวังใช้ชื่อสำนักสงฆ์เป็นเครื่องมือระดมเงินบริจาค งานทำบุญ มาเป็นเงินสร้างสิ่งปลูกสร้าง อาคาร บ้านพักหรูต่างๆ ภายในคฤหาสน์แห่งนี้ บนที่ดินของตัวเองเพื่อเป็นทรัพย์สมบัติของตัวเองแบบไร้ปัญหาด้วยประการทั้งปวง ต่างจากวัดป่าขันติธรรมที่ “ไอ้คำ” มีปัญหาในกรรมสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งในช่วงเริ่มแรกของก่อสร้างได้มีการนำป้ายไม้ ชื่อสำนักสงฆ์ป่าขันติบารมี สาขาที่ 1 ขนาดเล็กมาติดไว้บริเวณหน้าประตูทางเข้า แต่ปัจจุบันถูกเก็บไปทิ้งนานแล้ว
วังแห่งนี้มีลูกศิษย์ที่เป็นนักธุรกิจใหญ่ทั้งชาวไทย และต่างประเทศตกเป็นเหยื่อถูกหลอกไปหลายราย กับเมกะโปรเจกต์ต่างๆ ที่ “ไอ้คำ” อุปโลกน์ขึ้นเพื่อดูดเงิน เช่น โครงการสร้าง “มหาวิหารสุนันทาธรรมศาลา” มูลค่าก่อสร้าง 500 ล้านบาท ไว้ภายในคฤหาสน์แห่งนี้ในส่วนด้านหน้าของพื้นที่ชั้นแรก งานนี้ว่ากันว่า “คุณแม่สุนันทา” แห่งดอกบัวคู่ ของ “ไอ้คำ” ทุ่มบริจาคไปรวมกว่า 25 ล้านบาท พร้อมทำพิธีวางศิลาฤกษ์ก่อสร้างไปเรียบร้อย แต่แล้วโครงการก็หายไปกับสายลมพร้อมกับเงินก้อนโต และทองคำอีกหลายกิโลกรัม
ต่อมา ยังได้นำพื้นที่ก่อสร้างโครงการเดียวกันนี้ไปหลอกเอาเงินจาก มิสเตอร์อู๋ เศรษฐีชาวมาเลเซีย ว่าจะสร้าง “องค์หลวงปูเณรคำ ปางเสวยสุข” ขนาดใหญ่เท่าตัวจริง ด้วยงบก่อสร้าง 500 ล้านบาท ครั้งนี้ลงทุนสร้างภาพถึงขั้นนั่งเครื่องบินเจ็ตไปรับเงินด้วยตัวเองที่มาเลเซีย รอบแรกได้มา 20 ล้านบาท ไปเอารอบ 2 อีก 48 ล้านบาท รวมเป็น 68 ล้านบาท พร้อมทองคำอีก 5 กิโลกรัม แต่จวบจนขณะนี้ “องค์หลวงปู่เณรคำ ปางเสวยสุข” ดังกล่าวก็ยังล่องลอยอยู่ในสายลม
เป็นที่โจษจันกันหนาหูมานานว่า สถานที่อันลึกลับ และกว้างใหญ่แห่งนี้เป็นแหล่งซุกรถยนต์หรูราคาแพงที่สำคัญของ “ไอ้คำ” ซึ่งเข้าชื่นชอบเป็นชีวิตจิตใจ และได้ทำการซื้อมาขายไปอย่างต่อเนื่องรวมแล้วหลายสิบคัน รวมทั้งเกี่ยวข้องกับขบวนการธุรกิจมืดด้วย
สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวล่าสุดของตำรวจกองบังคับการปราบปราม เมื่อ 7 ก.ค. ที่ผ่านมา พ.ต.อ. ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.กองปราบปราม และคณะสืบสวนได้รุดลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี โดยระบุว่า การลงมาสืบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพระชื่อดังครั้งนี้ได้ตั้งประเด็นการสืบสวนสอบสวนตามที่มีคนร้อง คือ มีการซุกซ่อนโยกย้ายเงินบริจาค มีส่วนพัวพันกับการนำรถหรูไม่เสียภาษีเข้ามาในประเทศ และมีส่วนพัวพันกับการขนยาเสพติดออกนอกประเทศ ซึ่งกรณียาเสพติดได้นัดหารือกับหน่วยงาน ป.ป.ส. วันที่ 9 ก.ค. นี้ คงได้เห็นอะไรที่ชัดเจนขึ้น
สร้างอู่ซ่อมรถแหล่งมั่วสุม พื้นที่ 10 ไร่ ใกล้คฤหาสน์
นอกจากเนรมิตวังใหญ่โตกลางป่าทุ่งนามิอาจประเมินมูลค่าได้แล้ว “ไอ้คำ” ยังได้ซื้อที่ดินติดถนนสายพิบูลมังสาหาร-โขงเจียม บริเวณด้านหน้าทางเข้าคฤหาสน์ใหญ่โต ตรงหลัก กม.ที่ 7 ดังกล่าวอีกประมาณ 10 ไร่ โดยสถานที่ทั้ง 2 แห่งอยู่ห่างกันเพียงเล็กน้อย และมีความเชื่อมโยงกันในหลายเรื่อง พบมีอาคารเป็นโกดังขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในส่วนด้านหลังสุด พร้อมเปิดเป็นอู่ซ่อมรถยนต์ ซึ่งอดีตลูกศิษย์ใกล้ชิดเปิดเผยว่า สถานที่แห่งนี้ “ไอ้คำ” มาสร้างไว้เพื่อเปิดกิจการอู่ซ่อมรถยนต์ และใช้เป็นสถานที่จอดเก็บรถยนต์หรูราคาแพงยี่ห้อดังต่างๆ โดยมี “สุริ” น้องชายเป็นผู้ดูแล
ในส่วนพื้นที่ด้านหน้าเกือบติดกับถนน พบมีการสร้างอาคารชั้นเดียว ตกแต่งด้วยกระจก คล้ายร้านมินิมาร์ท ตั้งอยู่อีกจำนวน 1 หลัง แต่ยังไม่เปิดดำเนินการ ทราบว่าที่ดินแปลงนี้ตามแผนโครงการแล้ว “ไอ้คำ” ต้องการผุดธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่ พร้อมอู่ซ่อมรถยนต์หรู และมินิมาร์ทไว้รองรับอนาคตหลังห่มผ้าเหลืองกอบโกยเงินทองจนสาสมใจแล้ว แต่ปัจจุบันโครงการทั้งหมดยังไม่แล้วเสร็จ มีเพียงอู่ซ่อมรถยนต์ที่เปิดดำเนินการแล้ว
ที่สำคัญ อู่ซ่อมรถแห่งนี้เป็นสถานที่แห่งเดียวกับที่ พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว ผู้บัญชาการสำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ออกมาระบุว่า มีพยานให้การชัดเจน ว่า “ไอ้คำ” ใช้อู่ซ่อมรถยนต์แห่งนี้เป็นที่ซ่องสุมดื่มสุรา ดูหนังโป๊ เสพยาบ้า และมั่วผู้หญิงด้วย
ในเขตพื้นที่บ้านทรายมูล ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร แห่งนี้ ซึ่งเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ แบ่งเขตปกครองออกเป็นร่วม 10 หมู่บ้าน “ไอ้คำ” ยังได้ฟอกเงินจากการรับบริจาคทำบุญของประชาชน ไปซื้อที่ดินให้พ่อแม่บริเวณหน้าวัดดอนธาตุ ไว้อีกหนึ่งแปลง ประมาณ 42 ไร่ ด้วย
ทรัพย์สินทั้งหมดทั้งหมดปวงที่ “ไอ้คำ” ได้มาโดยมิชอบเหล่านี้ ถึงแม้จะเป็นหนังเรื่องยาวซ่อนเงื่อนปมซับซ้อนต้องสาวลึกกันอีกนาน แต่เป็นประเด็นร้อนที่หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องต้องเร่งตรวจสอบให้ได้ข้อเท็จจริง และดำเนินการตามกฎหมายโดยเร็ว หลังต่างปล่อยปละละเว้นกันมานาน ก่อนที่จะเหลือแค่ความว่างเปล่า...ให้ขุดคุ้ยได้เหม็นเน่า เหนื่อยเปล่ากันเท่านั้น