ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - บีโอไอภาคที่ 1 เผยการลงทุนภาคเหนือไตรมาสแรกปี 56 ยังคึกคัก มีโครงการขอรับการส่งเสริมเพิ่มร้อยละ 24 ส่วนโครงการอนุมัติเพิ่มร้อยละ 7 “อุตสาหกรรมการเกษตร” ยอดนิยมที่สุด ด้าน ผอ.ใหม่เผยยุทธศาสตร์ตั้งเป้าหนุน “Food Valley-เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์-นักลงทุนไทยไปลงทุนต่างประเทศ”
นายศักดิ์ชัย เหลืองสถิตกุล ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 1 เปิดเผยถึงภาวะการลงทุนภาคเหนือไตรมาสแรกของปี 2556 ว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี มูลค่าการลงทุนของโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมในภาคเหนือเพิ่มสูงขึ้น โดยโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนในภาคเหนือ 17 จังหวัด ไตรมาสแรกของปี 2556 มีจำนวน 31 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวม 6,154.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 เมื่อเทียบกับมูลค่าการลงทุนในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 4,952.9 ล้านบาท
โดยอุตสาหกรรมที่นักลงทุนให้ความสนใจยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนใน 3 อันดับแรก เมื่อคิดตามจำนวนโครงการได้แก่อุตสาหกรรมการเกษตรและผลิตผลจากการเกษตร อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมเบาตามลำดับ ขณะที่นักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นยังคงเป็นนักลงทุนต่างชาติที่ให้ความสนใจยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด
ส่วนโครงการที่ได้รับการอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนในภาคเหนือนั้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยโครงการที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ภาคเหนือ 17 จังหวัด ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2556 มีจำนวน 21 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวม 4,758.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับมูลค่าการลงทุนในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 4,444.1 ล้านบาท
โดยอุตสาหกรรมที่ได้รับการอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนใน 3 อันดับแรกเมื่อคิดตามจำนวนโครงการ ประกอบด้วย อุตสาหกรรมการเกษตรและผลิตผลจากการเกษตร กิจการบริการและสาธารณูปโภคกับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมเบา ตามลำดับ ทั้งนี้ โครงการที่ได้รับการส่งเสริมในช่วงไตรมาสแรกของปี 2556 ในภาคเหนือ ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนขนาดไม่เกิน 200 ล้านบาท เป็นการลงทุนโดยนักลงทุนต่างชาติร้อยละ 41 และเป็นการลงทุนโดยนักลงทุนไทยร้อยละ 36
นายศักดิ์ชัยเปิดเผยว่า สำหรับเป้าหมายของการให้การส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอในปีนี้นั้นจะปรับเปลี่ยนแนวทางจากเดิมที่สนับสนุนให้เกิดการลงทุนเป็นจำนวนมาก มาสู่การสนับสนุนการลงทุนในโครงการที่มีการสาร้างสรรคนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์เป็นหลักแทน ซึ่งในส่วนของภาคเหนือนั้นทางสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 1 ได้รับภารกิจให้ผลักดันยุทธศาสตร์สำคัญใน 3 ด้าน ได้แก่ 1. การผลักดันให้ภาคเหนือเป็น Northern Food Valley ตามนโยบายของรัฐบาล 2. การส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในด้าน Creative Industry ในพื้นที่ภาคเหนือ และ 3. การสผลักดันให้นักลงทุนจากภาคเหนือออกไปลงทุนในต่างประเทศให้มากยิ่งขึ้น
นายศักดิ์ชัยกล่าวว่า ยุทธศาสตร์ Northern Food Valley นั้น รัฐบาลได้มอบหมายให้ 3 กระทรวงที่เกี่ยวข้องและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยร่วมกันผลักดัน โดยตั้งเป้าให้พื้นที่ภาคเหนือซึ่งเป็นแหล่งการผลิตสินค้าการเกษตรที่สำคัญ รวมทั้งมีผู้ประกอบการ และสถาบันการศึกษาที่มีความพร้อมในการพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมทางการเกษตรและการผลิตอาหารให้กลายเป็น Food Cluster ที่ผลิตอาหารส่งออกให้กับตลาดโลกได้ โดยบีโอไอซึ่งเป็นองค์กรสนับสนุนนั้นจะมีส่วนร่วมในการให้การส่งเสริมแก่ธุรกิจหรือผู้ประกอบการที่มีธุรกิจสอดคล้องกับแนวทางดังกล่าว
ส่วนการส่งเสริมอุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ หรือ Creative Industry นั้น แม้อาจจะเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการจำนวนมากยังไม่เข้าใจหรือยังไม่เห็นภาพ แต่จะต้อส่งเสริมให้เกิดขึ้น เนื่องจากอุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์เป็นอุตสาหกรรมที่สามารถเชื่อมโยงและรองรับภาคการผลิตและอุตสาหกรรมอื่นๆ ได้อีกมาก รวมทั้งยังเหมาะสมกับพื้นที่ภาคเหนือซึ่งมีภูมิปัญญา ศิลปหัตถกรรมและประเพณีวัฒนธรรมมากมายที่น่าสนใจซึ่งสามารถนำมาต่อยอดได้
ด้านการผลักดันให้ผู้ประกอบการในภาคเหนือออกไปลงทุนในต่างประเทศให้มากขึ้นนั้น นายศักดิ์ชัยระบุว่า แนวทางดังกล่าวเป็นสิ่งที่บีโอไอได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบันบีโอไอมี TOI หรือ Thailand Overseas Investment ที่ดูแลการออกไปลงทุนในต่างประเทศของผู้ประกอบการไทย เนื่องจากในอนาคตไทยจำเป็นจะต้องมองหาแหล่งผลิตสินค้าหรือแหล่งวัตถุดิบที่ช่วยเสริมศักยภาพในการแข่งขัน อีกทั้งเป็นการเตรียมพร้อมเพื่อรองรับการเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในอนาคตอีกด้วย
ทั้งนี้ ในปัจจุบันพื้นที่ภาคเหนือถือเป็นพื้นที่ที่นักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาลงทุนเนื่องจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ แต่ในขณะเดียวกันในอนาคตอุตสาหกรรมของไทยจำเป็นจะต้องหาแหล่งวัตถุดิบใหม่ๆ ที่ช่วยลดต้นทุนในการผลิต หรือตลาดที่มีศักยภาพในการแข่งขัน ทั้งเพื่อเป็นการเปิดตลาดใหม่ๆ และสร้างความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งในเรื่องดังกล่าวนักลงทุนจำเป็นจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว โดยในส่วนของบีโอไอจะทำหน้าที่ในการสนับสนุนและให้คำแนะนำเพื่อช่วยให้การออกไปลงทุนของนักลงทุนเกิดประโยชน์มากที่สุด โดยในปัจจุบันกลุ่มประเทศ CLMV ซี่งประกอบด้วยกัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม ถือเป็นประเทศที่มีความน่าสนใจในการเข้าไปลงทุน
