พระนครศรีอยุธยา - กลุ่มมิจฉาชีพกรุงเก่าอาละวาดลอบตัดดาบที่รูปปั้นช้างศึกที่เพนียดหายทั้งหมด 30 เล่ม เชื่อเป็นพวกเสพยา
วันนี้ (17 ธ.ค.) นายประเทือง เจริญผล อายุ 52 ปี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ม.3 ต.สวนพริก อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ได้มีบรรดามิจฉาชีพ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นพวกติดยาเสพติดมาตัดดาบที่รูปปั้นทหารรอบช้างศึกที่ตั้งอยู่ที่บริเวณตำหนักเพนียดคล้องช้าง ม. 3 ต.สวนพริก หายไปเกือบหมด จากการตรวจสอบพบว่า บริเวณดังกล่าวมีรูปปั้นช้างศึก 4 เชือกตั้งอยู่ โดยแต่ละเชือกจะมีทหารประจำช้าง หรือจตุรงคบาทประจำอยู่เชือกละ 4 นาย รวมทั้งสิ้น 16 นาย และแต่ละนายก็จะถือดาบเป็นอาวุธคนละ 2 เล่ม โดยพบว่า ดาบที่ถืออยู่นั้นได้หักหายไป โดยมีร่องรอยการตัดด้วยแก๊ส หรือความร้อนหลายแห่งจนหายไปจำนวนทั้งสิ้น 30 เล่ม
นายประเทือง เปิดเผยว่า ช้างศึกดังกล่าวเป็นช้างที่หล่อด้วยโลหะ อยู่ในความดูแลของสำนักงานศิลปากรที่ 3 พระนครศรีอยุธยา เดิมอยู่ที่พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัย ทุ่งมะขามหย่อง และถูกย้ายมาอยู่ที่บริเวณหน้าเพนียดคล้องช้าง ตั้งแต่ปี 2552 จากนั้น มีบรรดามิจฉาชีพขโมยเอาดาบที่อยู่ที่ตัวทหารไปหลายเล่ม แต่ก็ยังมีเหลืออยู่ให้เห็น แต่เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา สังเกตเห็นว่าดาบที่อยู่ที่ทหารหายไปทั้งหมดแล้ว เหลืออยู่เพียง 2 เล่ม และเชื่อว่าที่เหลืออยู่บนหลังช้างก็คงจะหายทั้งหมดเร็วๆ นี้ ซึ่งได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ และกรมศิลปากรทราบแล้ว และเชื่อว่าน่าจะเป็นฝีมือพวกติดยาเสพติดบริเวณดังกล่าวนั่นเอง
ตร.ให้น้ำหนักกลุ่มเก็บของเก่าขโมยดาบชุดหล่อช้างศึก
ด้าน พ.ต.อ.ชัยยะ เพ็ชรปัญญา ผกก.สภ.พระนครศรีอยุธยา กล่าวถึงประติมากรรมรูปหล่อสำริด ชุดช้างศึกทหารพม่า เพนียดคล้องช้างอยุธยา ถูกขโมยดาบ 30 เล่มว่า จากการตรวจสอบหาร่องรอยจุดเกิดเหตุ และข้อมูลแวดล้อม สันนิษฐานผู้ก่อเหตุไว้ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มเก็บของเก่า กลุ่มวัยรุ่นติดยา และกลุ่มนิยมวัตถุโบราณ แต่จากหลักฐานพบว่าในส่วนของอาวุธที่อยู่บนหลังช้างยังอยู่เกือบครบ และดาบในมือรูปหล่อ บางเล่มหายไปเฉพาะตัวดาบ เหลือในส่วนของด้ามที่ทำจากสำริดที่ถูกเชื่อมกับมืออย่างดี ไม่ได้หายไปด้วย
ทางตำรวจจึงให้น้ำหนักน่าจะเป็นกลุ่มเก็บของเก่ามากกว่า เพราะเลือกเฉพาะที่นำไปได้ง่าย เพื่อนำไปขายร้านรับซื้อเศษเหล็ก เพราะเนื้อสำริดมีมูลค่า
ส่วนกลุ่มวัยรุ่นติดยาอาจเป็นไปได้เช่นกัน เพราะรูปหล่อตั้งอยู่ติดถนนและไม่มีรั้ว แต่ไม่ได้ตัดทิ้งกลุ่มนิยมวัตถุโบราณ ซึ่งกลุ่มนี้ให้น้ำหนักน้อยที่สุด เพราะหากโจรกรรมต้องนำไปแบบสมบูรณ์ครบทั้งตัวดาบและด้าม อีกทั้งประติมากรรมดังกล่าวมีอายุไม่มากนัก หล่อเมื่อปี 2534 อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จะเร่งติดตามคนร้ายมาดำเนินคดี โดยจะนำภาพถ่ายของดาบที่เหลืออีก 2 เล่ม ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจออกตรวจสอบตามร้านรับซื้อของเก่า เพื่อขยายผลทางคดี
แจงประติมากรรมไม่ใช่ทรัพย์สินกรมศิลปากร
ทางด้านนายสหภูมิ ภูมิธฤติรัฐ ผู้อำนวยการ สำนักงานศิลปากรที่ 3 พระนครศรีอยุธยา ชี้แจงถึงประติมากรรมสำริดรูปหล่อช้างศึกทหารพม่า ข้างเพนียดคล้องช้างอยุธยา ถูกขโมยดาบไป 30 เล่มว่า จากการตรวจสอบเอกสารทางราชการอย่างละเอียดแล้วประติมากรรมดังกล่าวไม่ได้เป็นทรัพย์สินของกรมศิลปากร แต่เป็นทรัพย์สินขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) พระนครศรีอยุธยา เพราะหลังจากมีการสร้างทุ่งมะขามหย่องและรูปหล่อต่างๆ แล้วในปี 2534 ได้ถ่ายโอนมาให้ อบจ.ดูแลทั้งหมด ปัจจุบันทุ่งมะขามหย่องและทรัพย์สินต่างๆ อยู่ในการกำกับดูแลของ อบจ. วมถึงประติมากรรมดังกล่าวได้ย้ายออกมาเมื่อปี 2552 ตั้งอยู่ที่สวนสุขภาพชุมชน ใกล้เพนียดคล้องช้าง เพื่อความเหมาะสม
อย่างไรก็ตาม แม้ประติมากรรมดังกล่าวจะไม่ได้อยู่ในการกำกับดูแลของกรมศิลปากรในทางกฎหมาย แต่พฤติกรรมการของผู้ขโมยถือว่าเป็นภัยต่อทรัพย์สินของชาติ และกรมศิลปากรพร้อมให้ความร่วมมือส่วนราชการทุกฝ่าย