พระนครศรีอยุธยา - ตำรวจพระนครศรีอยุธยา เตรียมเพิ่มมาตรการป้องกันเหตุโจรกรรมทรัพย์สินสาธารณะ และวัตถุโบราณ พร้อมสั่งล่าตัวคนขโมยดาบประจำรูปปั้นทหารช้างศึกที่เพนียดคล้องช้าง
เมื่อเวลา 13.00 น.วันนี้ (18 ธ.ค.) พ.ต.อ.ชัยยะ เพชรปัญญา ผกก.สภ.พระนครศรีอยุธยา กล่าวถึงกรณีที่มีมิจฉาชีพตัดเหล็กดาบประจำรูปปั้นทหารช้างศึกที่เพนียดคล้องช้าง ม.3 ต.สวนพริก อ.พระนครศรีอยุธยา ว่า หลังจากที่ทราบข่าวได้ออกไปตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุ และพบว่าที่บริเวณชิ้นส่วนที่หักหายไปนั้นมีร่องรอยคล้ายถูกตัดจริง และสอบถามชาวบ้านทราบว่า หลังจากที่มีการนำมาตั้งเมื่อปี 2552 ก็มีการหายมาโดยตลอด จนถึงช่วงปี 2553 ได้หายไปทั้งหมด ก่อนที่จะมีการปรับปรุงภูมิทัศน์ของโครงการเอสเอ็มแอลบริเวณดังกล่าวเป็นสวนสาธารณะของกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งการสูญหายชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสนใจ
เนื่องจากบริเวณดังกล่าวในช่วงกลางคืนจะมืดมาก ไม่มีไฟฟ้าส่องสว่าง และทราบว่า ทางกรมศิลปากรก็มาตรวจสอบหลังน้ำท่วมก็พบว่าหายไปจริง แต่เพิ่งมาเป็นข่าวเนื่องจากมีประชาชน หรือนักท่องเที่ยวได้สังเกตเห็น ซึ่งหลังจากนี้จะประสานกับกรมศิลปากร และองค์การบริหารส่วนจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในการติดไฟส่องสว่าง และติดตั้งกล้องวงจรปิดบริเวณดังกล่าวเพื่อป้องกันเหตุ ซึ่งนอกเหนือจากดูแลจุดดังกล่าวแล้ว ยังเป็นการเฝ้าระวังเหตุร้ายต่างๆ ด้วย และนอกจากบริเวณนี้แล้ว ตำรวจ สภ.พระนครศรีอยุธยา ได้ตั้งชุดปฎิบัติการพิเศษเพื่อปะปนกับนักท่องเที่ยวลงไปในพื้นที่สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เพื่อป้องกันการโจรกรรม และยังจะขอความร่วมมือจากประชาชนให้เป็นหูเป็นตา
ส่วนการติดตามคนร้ายที่นำเหล็กที่รูปปั้นไป ได้มอบให้ชุดสืบสวนลงพื้นที่หาข่าวแล้ว และคาดว่าจะได้ตัวในสัปดาห์หน้าอย่างแน่นอน ทางด้านนางสมทรง พันธ์เจริญวรกุล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า ยังไม่ได้ตั้งงบประมาณในการซ่อมแซม และเมื่อทราบว่าได้เกิดการสูญหายไปก็จะประสานกับกรมศิลปากรในการที่จะนำมาทดแทนของเดิมต่อไป
เมื่อเวลา 13.00 น.วันนี้ (18 ธ.ค.) พ.ต.อ.ชัยยะ เพชรปัญญา ผกก.สภ.พระนครศรีอยุธยา กล่าวถึงกรณีที่มีมิจฉาชีพตัดเหล็กดาบประจำรูปปั้นทหารช้างศึกที่เพนียดคล้องช้าง ม.3 ต.สวนพริก อ.พระนครศรีอยุธยา ว่า หลังจากที่ทราบข่าวได้ออกไปตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุ และพบว่าที่บริเวณชิ้นส่วนที่หักหายไปนั้นมีร่องรอยคล้ายถูกตัดจริง และสอบถามชาวบ้านทราบว่า หลังจากที่มีการนำมาตั้งเมื่อปี 2552 ก็มีการหายมาโดยตลอด จนถึงช่วงปี 2553 ได้หายไปทั้งหมด ก่อนที่จะมีการปรับปรุงภูมิทัศน์ของโครงการเอสเอ็มแอลบริเวณดังกล่าวเป็นสวนสาธารณะของกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งการสูญหายชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสนใจ
เนื่องจากบริเวณดังกล่าวในช่วงกลางคืนจะมืดมาก ไม่มีไฟฟ้าส่องสว่าง และทราบว่า ทางกรมศิลปากรก็มาตรวจสอบหลังน้ำท่วมก็พบว่าหายไปจริง แต่เพิ่งมาเป็นข่าวเนื่องจากมีประชาชน หรือนักท่องเที่ยวได้สังเกตเห็น ซึ่งหลังจากนี้จะประสานกับกรมศิลปากร และองค์การบริหารส่วนจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในการติดไฟส่องสว่าง และติดตั้งกล้องวงจรปิดบริเวณดังกล่าวเพื่อป้องกันเหตุ ซึ่งนอกเหนือจากดูแลจุดดังกล่าวแล้ว ยังเป็นการเฝ้าระวังเหตุร้ายต่างๆ ด้วย และนอกจากบริเวณนี้แล้ว ตำรวจ สภ.พระนครศรีอยุธยา ได้ตั้งชุดปฎิบัติการพิเศษเพื่อปะปนกับนักท่องเที่ยวลงไปในพื้นที่สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เพื่อป้องกันการโจรกรรม และยังจะขอความร่วมมือจากประชาชนให้เป็นหูเป็นตา
ส่วนการติดตามคนร้ายที่นำเหล็กที่รูปปั้นไป ได้มอบให้ชุดสืบสวนลงพื้นที่หาข่าวแล้ว และคาดว่าจะได้ตัวในสัปดาห์หน้าอย่างแน่นอน ทางด้านนางสมทรง พันธ์เจริญวรกุล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า ยังไม่ได้ตั้งงบประมาณในการซ่อมแซม และเมื่อทราบว่าได้เกิดการสูญหายไปก็จะประสานกับกรมศิลปากรในการที่จะนำมาทดแทนของเดิมต่อไป